ความรัก 10 มิติ ตอน เหตุที่คนอยากไปแต่งงาน 2 อย่าง : สมณะโพธิรักษ์

สื่อธรรมะพ่อครู(ความรัก 10 มิติ) ตอน เหตุที่คนอยากไปแต่งงาน 2 อย่าง

ถาม  : ถ้าเราจะตั้งจิตเป็นโสดตลอดไปเราจะตั้งจิตของเราอย่างไร
พ่อครูว่า..จะไปยากอะไร? ก็อย่าไปแต่งงาน อย่าไปเผลอไปรักผู้ชายอย่าไปเผลอไปรักผู้หญิงเท่านั้นแหละ กระเทยไม่พูดก็ 2 อย่างเท่านั้น

ถาม  :  จะตั้งจิตอย่างไรให้เป็นถึงชาติต่อๆไป
พ่อครูว่า..คุณทำในชาตินี้ให้ได้ตลอดก็ล้างกิเลสอยากแต่งงาน
1.กิเลสราคะทำให้ไปแต่งงาน
2.หลงไปกับโลกที่เขาหลอกว่าต้องแต่งงาน เดี๋ยวแก่ไม่มีใครดูแล นี่พูดให้โก้ๆกลบเรื่องกาม ที่แฝงอยู่ แล้วก็อ้างแต่งงานเป็นเพื่อนกัน สร้างสังคม อ้างไปสารพัดแต่มันแฝงกามลึกๆ
คนไม่ต้องเป็นคู่ไม่ต้องไปแต่งงาน เป็นเพื่อนกันโดยไมต้องเป็นคู่แต่งงานต้องเสพกาม เป็นเพื่อนกันผู้ชายผู้หญิงเป็นเพื่อนทำงานกันโดยไม่ต้องมีอาการกามได้หรือไม่? …
คุณไม่ต้องเสพกามเลย เป็นเพื่อนผู้ชายผู้หญิงไป มีเยอะไป

พูดอันนี้ให้ฟัง อาตมามีชีวิตมา คนเข้าใจว่าอาตมาคบเพื่อนผู้หญิง แล้วคนแวดล้อมคนทั้งตัวผู้หญิงเองไปคิดว่าอาตมาไปจีบเขา ทั้งที่อาตมาไม่ได้ไปรักเขา แต่คนเข้าใจไม่ได้ ตอนนั้นอาตมาก็ไม่เข้าใจ เพื่อนผู้หญิงนึกว่าอาตมารักเชิงกาม แต่ก่อนอาตมาไม่เข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้รู้ว่าใจเราไม่ได้ไปรักทางเพศกับเพื่อนผู้หญิง คุยกันสนิทสนม ไปมาหาสู่จนคนเข้าใจว่าไปจีบ แต่ที่จริงไม่ใช่เลยไม่มีจิตทางกาม

การตั้งจิตเป็นโสดดี พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า ผู้ตั้งตนเป็นความโสดเขาเรียกกันว่าเป็นบัณฑิต ผู้ฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง ศึกษาให้ดีอย่างมีปัญญา ถ้ามีปัญญาแล้วจะเข้าใจ มีพลังไม่ไปหลงอย่างนั้น

หนังสือ รักอย่างไรไม่บาป : สมณะโพธิรักษ์

รักอย่างไร…ไม่บาป

สมณะโพธิรักษ์อบรมพุทธทายาท ที่พุทธสถานปฐมอโศก พ.ศ.๒๕๓๔

ดาวน์โหลด pdf  27 หน้า ได้ที่ [pdf รักอย่างไรไม่บาป]

อ่าน ebook จากเว็บไซต์ได้ที่ [ebook รักอย่างไรไม่บาป]

อ่านจากเว็บไซต์นี้ ได้ทางด้านล่าง….

 

รักอย่างไร…ไม่บาป

เรื่องการเสพสุข หลงว่าการเสพสัมผัส ด้วยทวารตาหูจมูกลิ้นกายใจ ๖ ทวารนี่ ได้สัมผัสเสียดสี ทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ เมื่อได้สัมผัสอันนี้แล้ว สมที่ตัวเองได้สัมผัส ครบ ตามกลไกของมัน ครบแล้ว ก็ถือว่าเป็นความสุข ฉะนั้น คนที่มีความรัก ชนิดที่ใคร่เสพกามอย่างนี้ บางทีไม่ต้องมีความรัก ในเรื่องของความเกื้อกูล ความหวงแหนก็ได้ ต้องการเสพอย่างนี้ ไม่ได้หวงแหนล่ะ เสพแล้วทิ้งเลย เหมือนกับคนข่มขืนฆ่าทิ้ง อย่างนี้เป็นต้น ได้สัมผัสเสียดสีด้วยตามเชิงกลของมัน เสร็จแล้วเรียบร้อย สัมผัสเสียดสีเสร็จ ฆ่าทิ้งเลย เขาไม่หวงแหน ไปหาเอาใหม่ ใคร่อยากอีกใหม่ ก็ไปหาเอาใหม่ อย่างนี้ก็หมายความว่า ต้องการเสพสุขด้วยกาม ร้อยเปอร์เซนต์ เป็นความใคร่ เสพสุข สัมผัสเสียดสี เท่านั้นการเสพเหล่านี้ เป็นเรื่องของสัตว์โลก ที่จริงน่ะ มันเป็นเรื่องของสรีระ มันเป็นเรื่องของสัตวโลก ที่เกิดตามฤดูกาล เกิดตามครั้งคราว ที่จะต้องถ่ายเทเชื้อสืบพันธุ์ เอาไว้เท่านั้นเอง ในพืชก็มี ถึงเวลามันไปตามเรื่องของมัน มันไม่มีรสไม่มีชาติหรอก เกสรของพืชดอกไม้ มันจะไปผสมกัน พอมันผสม แล้วมันก็เกิดพันธุ์ เกิดเชื้อต่อ เกิดเป็นพืชพันธุ์ต่อไป ต้นไม้ เราเห็นได้ รู้ได้ว่า มันไม่มีรสไม่มีชาติ มันไม่มีความสุขหรอก สัตว์หลายชนิด ที่เสพกามแล้วทุกข์ ถึงขนาดดิ้นรน ไล่กัน กว่าจะปลุกปล้ํา เสพสังวาสกันนี่ เพื่อที่จะให้เกิดเชื้อเกิดพันธุ์นี่ สัตว์หลายชนิดต้องไล่ ต้องทําอะไร อย่างน้อยแมวเคยรู้สึกมั้ย เคยเห็นมั้ย แมว กว่าจะผสมพันธุ์ โอ้โฮ มันไล่กันกัดกัน ตั้งเป็นไหนๆ มีหลายประเภท สัตว์หลายประเภท ทุกข์ แล้วมันก็วิ่งหนี มันก็พยายามจะดิ้นรน แต่สุดท้าย มันก็ยังมีตัวข้างใน สัญชาตญาณนี่ รู้เหมือนกันว่า ถ้าสัตว์ตัวเมียมีไข่ ควรจะได้ผสมพันธุ์ นี่เป็นสํานึกของสัตว์โลก เพื่อที่จะก่อเชื้อความเกิด ความเกิดนี่เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของความจะต้องยังอยู่ เพราะฉะนั้น ธรรมชาติอันนี้ จะมีในจิตวิญญาณระดับสัตว์ขึ้นมา มันก็จะสมสู่ถึงแม้ว่ามันเป็นทุกข์ ก็จํายอม จนกระทั่งเรามาสร้าง แปลความทุกข์เหล่านี้ ให้มีอุปาทานใหม่ ว่าเป็นสุข มอมเมากันๆ สัตว์มันก็มอมเมากันขึ้นมาบ้าง แต่น้อย มาเป็นคน มอมเมากันมาก เลยหลงใหลว่า สุขกันใหญ่ เลยหนักๆเข้า เลยนึกว่าเป็นความสุข ไม่ใช่ความสืบพันธุ์ทุกวันนี้ จึงมีกามวิตถาร ขอให้ได้รับการสัมผัสเสียดสี ก็ถือว่าเป็นความสุข เลยไม่ใช่เรื่องของธรรมชาติแล้ว เป็นเรื่องเกินธรรมชาติ เป็นเรื่องวิตถาร ไปติดอารมณ์ ว่ามันเป็นสุข ที่จริง ความปลอม เป็นความลวง ไม่จริง ไม่จริงหรอก

พอไปติดเข้าแล้ว เราก็หลงว่าจะต้องได้เสพ เสพแล้วก็เห็นว่า อย่างนี้ได้อย่างนี้สุข ก็ติดก็ยึดกัน แล้วก็ทํากัน สังขารกัน ปรุงแต่งกัน บ้าๆ บวมๆ จนกระทั่ง นานาสารพัด อาตมา ไม่พูดมากเกินไปกว่านี้นะ มันลามก ถ้าพูดมากกว่านี้ ก็ลามกกว่านี้ ก็ละไว้ ในฐานที่เข้าใจ พวกคุณก็เข้าใจเอาเอง แล้วไม่จําเป็นจะต้องไปควานคว้าหา ศึกษาหรอก ไม่ต้องไปศึกษาหรอก แค่นี้ก็เหลือเกินแล้ว รู้แค่นี้ก็เหลือเน่าอยู่ในตัวพอแล้ว ยังจะไปหาเรื่องเน่ายิ่งกว่านี้ เลอะยิ่งกว่านี้มารู้ รู้ไปทําไม รู้ไปก็ไม่ได้ใช้ รู้ไปแล้วก็ลามก รู้ไปแล้ว ก็ไม่ควรจะมี ไม่ควรจะเป็น เราก็ไม่ควรมีควรเป็น ไม่จําเป็นต้องรู้ก็ได้แม้แต่เรารู้ว่าเราเอง เราก็ยังมีความลามก เราก็ยังมีความไม่ดี เราก็ยังมีความเสพความติดอันนี้อยู่ เราควรจะล้างออก เลิกออกพิสูจน์พระพุทธเจ้าสอนว่า ล้างออกได้นะ เลิกได้แล้ว มันก็ไม่มีรสอันนี้จริงๆ ดับสูญ ดับรสโลกียสุข พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสรู้ แล้วท่านก็ได้ล้างอันนี้ออกจนหมด คนก็บรรลุธรรม ในเรื่องของกาม ในเรื่องของการเสพสมสุขสม เรียกว่า กามราคะ สูญ ถอนอนุสัยอาสวะ ว่าง ไม่เกิดอารมณ์อย่างนี้ ไม่มีรสชาติอย่างนี้ เพราะรสชาตินี้ปลอม ไม่มีจริงๆ ไม่เกิดอารมณ์ในใจเลย ไม่เกิด เมื่อไม่เกิด ก็เรียกว่า มันดับสนิท มันตายจึงพิสูจน์ได้ว่า ก็มันตายได้ นี่ตายได้แล้ว ดูตัวเราตายไหม คนบรรลุธรรม หมดกามราคะ นี่ไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านพิสูจน์มาก่อน ให้พระอริยสาวกพิสูจน์อีก เออ ก็ไม่ตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยิ่งดีด้วย ไม่ต้องเสียเวลาให้แก่มัน ไม่ต้องเสียแรงงานให้แก่มัน ไม่ต้องเสียทุนรอน ไม่ต้องเสียทรัพยากร ไม่ต้องเสียอะไรให้มันเลย สบาย เราก็เอาเวลา เอาแรงงาน เอาทรัพยากรเหล่านี้ มาสร้างงาน เอามาขนดิน ก็ยังได้ประโยชน์ ใช่ไหม เอาแคลลอรี่เหล่านี้ มาขนดิน ยังได้ประโยชน์ เอามาทํางานอะไรต่ออะไรยังได้คุณค่า เอาทุนรอนที่จะต้องไปจ่ายกับสิ่งเหล่านี้ มาทําพวกนี้ ให้ได้ประโยชน์สร้างสรร เป็นประโยชน์ในมนุษย์ต่อไป อันนั้นไม่มี ไม่ใช่ขาดความเจริญ เจริญ!เจริญทั้งตัวเราเอง เจริญ!ยิ่งทุกวันนี้ ยิ่งทันสมัยที่สุด ทันสมัยนะ อาตมาขอยืนยัน เพราะทุกวันนี้ คุมกําเนิดใช่ไหม ใช่ไหม อ้าว!คนมันจะล้นโลกแล้ว มันห้าพันล้านแล้ว คุมกําเนิด ฉะนั้น ใครที่คุมกําเนิดได้ โดยวิธีที่คุมกําหนัด คุมกิเลสนี่ได้ ทันสมัยยิ่งกว่า โลกทุกวันนี้ สามารถคุมกําหนัดไม่ค่อยเก่ง ก็ต้องไปคุมกําเนิด ด้วยวิธีวัตถุ คุมไปอย่างนั้นแหละไม่อยากให้คนมันเกิด แต่ว่ามันมีกิเลส มันก็ต้องทําปฏิกิริยาเชิงกลแบบนั้นน่ะนะ ก็ต้องทํา ทําเพราะว่า เราลดอํานาจจิตเราไม่ได้ จิตเรากิเลสมันเป็นเจ้าเรือน กิเลสมันบังคับ ทนไม่ได้ ต้องทํา เขาเรียก หน้ามืด มาบ้าง หน้าไม่มืด ก็แล้วแต่เถอะ อยากมากๆ ใคร่มากๆ ก็ต้องทํา ลดความอยากความใคร่อันนี้ลง จริงๆๆๆๆๆๆ คุณมาพิสูจน์ซิว่าลดได้ คนที่ลดได้ ก็ไม่ต้องไปทารุณ แม้มันไม่ต้องขนาดหมดหรอก ลดกิเลสความใคร่อย่างหนึ่งลงมา เหลือน้อยลงๆเท่านั้น เราก็ไม่ต้องทําแล้ว ไม่หมดก็ยังพิสูจน์ได้แล้ว ขนาดกิเลสยังไม่หมดนะนี่ ยังเหลืออ่อนๆบางๆบ้างนี่ ก็ไม่ต้องทําแล้ว เกมส์อย่างนั้นน่ะ อดได้ทนได้ ไม่เดือดไม่ร้อนหรอก แต่ไว้ใจมันไม่ได้นะ เดี๋ยวมันโตวันโตคืน ได้เหมือนกัน เดี๋ยวมันรับเชื้อพระพุทธเจ้าไม่ให้ประมาท แม้เหลือน้อย ก็ฆ่ากิเลสนั้นให้หมด พิสูจน์ดูซิว่า หมดแล้วจะเป็นอย่างไร หมดแล้วท่านเรียกว่าสุญญตา ตัวตนของกิเลสกามหมดแล้วนี่เฉพาะเรื่อง ผู้หญิงผู้ชายนะ หมดเกลี้ยง พอหมดเกลี้ยง แล้วมันจะเป็นอย่างไร เราจะเห็นสุญญตา นี่แหละ อนัตตา ตัวตนของกิเลส แต่ก่อนนี้มันเป็นตัวตน มีบทบาทบังคับเรา โอ้ มันเหนือเราเหลือเกิน พอฆ่ามันตายแล้ว มันหมดตัวตนของกิเลสตัวนี้ เรื่องนี้นะ เรื่องเมถุน เรื่องผู้หญิงผู้ชาย ฆ่ามันตายสิ้นแล้วนี่นะ เราก็จะเห็นความสูญ ความสูญต้องเห็นด้วยญาณปัญญา ตามของจริง ไม่ใช่ไปนั่งเดา อะไรๆก็สูญ อะไรๆก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แล้วกิเลสอยู่ในตัวคุณเล่า ตัวตนหรือเปล่าไม่รู้ จับตัวตนมันไม่ได้เราต้องจับตัวตนของกิเลสเลย มันมีอาการ ท่านเรียกภาษาบาลีว่า อาการ ลิงคะ นิมิตลิงคะ หมายความว่า ความแตกต่าง มีอาการ อาการคงพอรู้น่ะนะ มีอาการ เวลาเราโกรธ เราเกิดอาการอย่างไรรู้ไหม อ่านมันอยู่ในใจ อาการโกรธมันอย่างนี้ ใจเรามันร้อนๆอย่างนี้ ใจเรามันมีลีลาอย่างนี้ เวลาโลภอยากได้มา อาการเป็นอย่างไร รู้ไหม รู้ใช่ไหม ไม่รู้หัดอ่าน มันเป็นนามธรรมหัดอ่าน เวลาโลภ เวลาเกิดราคะ เกิดกามอ่านเหมือนกัน นี่ใครมีราคะ แล้วใครไม่มีก็บุญไป นี่ตัวโตๆ มาขนาดนี้ มันเริ่มมีฮอร์โมน มันเริ่มมีต่อมมีปม มันเริ่มโตขึ้นมา พอที่จะใช้ มันจะมีราคะ อ่าน อ้อ อาการอย่างนี้เองราคะ แล้วเราก็ลดมัน ฆ่ามัน สะกดใจน่ะ วิธีง่ายๆ กดข่มใจน่ะวิธีง่ายๆ วิธีจริงแล้ว ต้องพิจารณาตามความจริงว่า ไอ้อาการเหล่านี้ มันเป็นอาการของผีนี่แหละ เราเรียกว่าผี อยู่ที่จิตวิญญาณ อาการของจิตวิญญาณ เราเรียกผี หรือ เราเรียกว่าเทวดา มันเป็นตัวชั่วเราเรียกว่าผี เป็นตัวดีเราเรียกว่าเทวดา เราฆ่ากิเลสนี้ ลดลงๆได้ เรียกว่า เทวดาเกิด ผีตาย แต่ยังตายไม่ครบนะ มันตายไปบางส่วน เรียกว่าอุบัติเทพ กิเลสหรือผีนี่ ตายไปบางส่วน เรียกว่าอุบัติเทพ เรียกว่าเกิดแล้ว เกิดแล้ว ผีน่ะตายลง เทวดาก็เกิด หรือพระมาเกิด ความประเสริฐเกิด เกิดเรื่อยๆ ผีตายมากเท่าไหร่ ความเป็นเทวดาก็เต็มตัวขึ้นเรื่อยๆ จนอุบัตินี่แปลว่าเกิด จนเทวดานี้เกิดเต็ม ผีตายสนิท เรียกว่า วิสุทธิ แปลว่าสะอาดบริสุทธิ์ ผีตายสนิท เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาบริสุทธิ์ เทวดาเต็มตัว อยู่ที่ตัวเรานี่แหละ เห็นให้ได้ ถ้าเราอ่านออก เห็นอาการของมันจริงๆ ตาทิพย์ นี่ คนเห็นเทวดา อยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนเห็นเทวดา คือนั่งหลับตาแล้วก็เห็น โอ้โฮ ใส่ชฎาด้วย รําเชิบๆด้วยนะแล้วตัวเทวดาผู้หญิง ต้องไม่ใส่เสื้อด้วย ตามที่รูปเขียนในผนัง เทวดาผู้หญิงไม่ใส่เสื้อด้วย โป๊ด้วย โอ้! อุจาดไม่เข้าเรื่อง นี่ถ้าอาตมาต้องไปเขียนรูปฝาผนัง เทวดาต้องใส่เสื้อให้แล้วทุกวันนี้น่ะ ไม่อย่างนั้นมันโป๊ ไม่ดี เขาก็เขียนไปตามเรื่องตามราว ตามจินตนาการของคนจะทํา เพราะฉะนั้น เทวดาจริงๆน่ะ คือ อาการของจิตที่ลดกิเลส เรียกว่า เทวดา

มันมีเทวดาสมมุติอยู่อันหนึ่ง เทวดามีอยู่ ๓ เทวดา ๑. สมมุติเทพ ๒. อุบัติเทพ ๓. วิสุทธิเทพ นี่ เทวดามี ๓ อย่าง สมมุติเทพคือเทวดาปลอม แล้วคนเรานี่ เป็นเทวดาปลอมกันอยู่ทั้งนั้นน่ะ ส่วนมากเป็นเทวดาปลอม เป็นอย่างไรเทวดาปลอม คือกิเลสมันอยากได้เสพสม มันอยากกินอร่อย ตอนนี้อยากกินของอร่อย ตอนนี้ใครอยากกินอะไรอร่อยล่ะ สมมุติ อยากกินไอศกรีม นี่คงจะติดไอศกรีมกัน หลายคนเหมือนกันน่ะ ในนี้น่ะนะ ไอศกรีมแค่นั้น นั่นแหละ มันก็เย็นๆ หวานๆ มันๆ แล้วแต่ใครจะปรุง เสร็จแล้วเขาหลอกเอาไปกิน อาตมาทุกวันนี้ ไม่กินหรอก ไอศกรีมพอเขาเอาไอศกรีมมาให้กิน โอ้ ถูกต้องกับรสชาติที่เราต้องการ อร่อยจริง สวรรค์หอฮ้อ ได้ขึ้นสวรรค์ ชื่นใจเป็นสุข นี่แหละเรียกว่า ความสุขหลอก เรียกว่า สุขขัลลิกะ เรียกเต็มๆก็ว่า กามสุขขัลลิกะ เป็นสุขสมอยากสมใคร่ อยากได้กินอันนี้ ได้เสพสมอันนี้ โอ้ สุขนี่เทวดาปลอม เรียกว่า สมมุติเทพ ได้กินสมใจใหญ่เท่าไหร่นั้น ได้สมใจเท่าไหร่ เรียกว่า เป็นเทวดาใหญ่เท่านั้น มีเงินซื้อมากๆ เรียกว่า เทวดาใหญ่อย่างเศรษฐี คนร่ํารวย หรือมีอํานาจ อยากได้อะไรเสพสม ได้ตามต้องการ มีอํานาจที่จะเสพสมสุขสม เขาเรียกว่าเป็น สมมุติเทพใหญ่ๆ สมัยโบราณ ก็ยกย่องให้แก่เจ้าเมือง หรือ กษัตริย์เป็นผู้มีอํานาจนี่ ใช่ไหม กษัตริย์สั่งฆ่าคนก็ได้ ต้องการอะไร มาเสพสมใจฉันได้ เลยเรียกกษัตริย์ว่า สมมุติเทพ เพราะได้เต็มที่ ไม่ต้องกษัตริย์หรอก ใครก็ได้ เศรษฐีร่ํารวย ผู้มีอํานาจ อยากได้อะไรมาเสพสมใจ ได้ตามที่ต้องการนั้น

เรียกว่า สมมุติเทพสมบูรณ์ ได้ตามต้องการทุกทีไป ได้ตามต้องการทุกเวลา ได้ตามที่ต้องการนี่ เรียกว่า สมมุติเทพเสร็จแล้ว มันอยากอีกใหม่ไหม อยากอีกใหม่ ตกนรกใหม่ เพราะอยากนี่ มันทุกข์ใช่ไหม ยังไม่ได้มาแล้ว โอ้ ดิ้นรนเดือดร้อน อยากได้มาเสพ ยิ่งไปติดแบบติดฝิ่น โอ้ ยิ่งเร่าร้อนใหญ่เลย ติดฝิ่น ไม่ได้ ทุรนทุรายใหญ่เลย เหมือนกัน ติดอะไรหนักๆเข้า ไม่ได้ เด็กๆอยากกินไอสครีม ไม่ได้กินก็ร้องไห้ เหมือนกันนั่นแหละ โตนี่ก็เถอะ ถ้าติดเอามากๆเข้า ไม่ได้กินก็จะร้องไห้ เอาเหมือนกันนั่นแหละ ก็ทุรนทุราย มันอยากเหลือเกิน แต่ถ้ามันไม่มีอะไร ที่เป็นตัวกระตุ้นประสาทเกินไปนัก มันก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ แต่มีตัวไปกระตุ้นประสาทอย่างหนัก แล้วติดอย่างหนักๆ เรียกว่า อุปาทาน หนักๆ มันจะดิ้นรนทุรนทุรายมากเลย ไม่ว่าจะติดอะไร ติดเรื่องขนมข้าวต้ม ติดเรื่องเสื้อผ้าหน้าแพร ติดเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสใดๆ ก็แล้วแต่ แม้แต่เรื่องผู้หญิงผู้ชาย ติดมากๆ ทนไม่ได้ จะต้องหาทางออก บําบัดให้ได้สัมผัสตามที่เราต้องการ ดีไม่ดี ต้องหน้ามืดตามัว ทําร้ายทําแรงกับคนอื่น ก็ได้นี่ มันเป็นอย่างนั้น เหมือนคนติดฝิ่น ทุรนทุราย โอ้โฮ ทําร้ายคนอื่น หน้ามืดตามัวเลย คนติดเฮโรอีน ติดฝิ่นอะไรนี่ บ้าๆบอๆเลย มันแรงไอ้พวกนี้ มันมีธาตุที่เข้าไปสะกัดแรง แล้วก็ไปทําปฏิกิริยากับเซลประสาท เซลประสาทก็เลยถูกกระตุก ถูกบังคับด้วยสภาพของวัตถุรูปแล้ว ธาตุ เขาเรียกธาตุอะไร ก็แล้วแต่เถอะ ธาตุที่มันไปเสพไปติด แล้วตัวเองต้องการ ธาตุอันนี้น่ะมันก็เป็นธาตุบังคับ เรียกคาเฟอีน เรียกนิโครติน เรียกอะไรก็ตามใจ มันมี ไม่รู้อะไรบ้าง อาตมาก็ไม่ได้เรียน อาตมาไม่ได้เก่งเคมี ก็เลยไม่ค่อยจะเก่งภาษาพวกวิทยาศาสตร์พวกนี้นัก นี่ลักษณะพวกนี้ ทําให้เป็นทุกข์ทีนี้ ถ้าเผื่อว่าผู้ใดเรียนรู้จริงแล้ว จับอาการของกิเลสนี้ได้ ลด ลดไอ้ความที่ไปหลงสุขนี่แหละ เห็นจริง ลดได้ๆก็เกิด บอกแล้ว สมมุติเทพเป็นเทวดาปลอม เทวดาปลอมนี่อยู่คู่กับนรก ไม่มีทางหมุน เรียกว่าสังสารวัฏ ประเดี๋ยวก็ขึ้น อยากใหม่ลงนรกใหม่ ไม่ได้เสพก็อยู่นรกนั่นแหละ อยากแรงก็อยู่นรกลึก ได้เสพใหม่ ก็ขึ้นสวรรค์หอฮ้อ หยุดชะงักไปชั่วหนึ่ง เดี๋ยวก็อยากใหม่ เราก็ค่อยเลื่อนลงนรกใหม่ อยากจัดก็ลงนรกลึก ได้เสพอีกก็ขึ้นมาสวรรค์ใหม่ นี่เรียกว่าสังสารวัฏ วนเวียนสวรรค์นรก อย่างนี้เอง นี่แหละความจริงของสวรรค์นรก เราขึ้นสวรรค์ลงนรกอยู่ทุกวันนี้ ตามสมมุติ นี่เรียก สมมุติสัจจะ สมมุติเทพ

ถ้าเรามาฆ่ากิเลสที่เป็นตัวเหตุนี่ ได้จริงๆเลย กิเลสตายลงไปเรื่อยๆ เรียกว่า เทวดาจริง เกิดอุบัติเทพ นี่เป็นเทวดาจริง ไม่ใช่สมมุติเทพ ตอนที่ฆ่ากิเลส ทุกข์เหมือนกัน แต่ทุกข์เราก็ต้องฆ่า ฆ่ากิเลสนี่มันทุกข์นะ สู้ทน ฆ่ามันตายแล้วเทวดาก็เกิด กิเลสตายนี่เทวดาเกิด เรียกว่าอุบัติเทพ จนกระทั่ง กิเลสมันตายลงไปมากๆ ๆๆๆๆ เทวดาก็โตขึ้นๆ จนกระทั่ง กิเลสตายสนิทหมด ถอนอนุสัยอาสวะ บริสุทธิ์ กิเลสตายสนิท ไม่มีตัวตน สุญญตา อนัตตา ตัวตนของกิเลส ในเรื่องไหนก็แล้วแต่ ในเรื่องของกาม ในเรื่องของติดไอศกรีม ฆ่ากิเลสไอสครีม ติดบุหรี่ฆ่าบุหรี่ ติดกิเลส อยากจะทาลิปสติก ฆ่าลิปสติก ฆ่ากิเลสที่มันติดลิปสติก

ไม่ต้องไปฆ่ามันหรอกลิปสติกน่ะ ช่างมัน ฆ่ากิเลสในตัวเรา ติดอะไรเราก็ไปฆ่าตัวนั้น ฆ่าได้บริสุทธิ์ เรียกว่า วิสุทธิเทพ เรียกว่า เทวดาบริสุทธิ์ นี่เป็นความรู้ทางศาสนาเอ้า ทีนี้เรื่องนี้ เป็นเรื่องเนื้อหาของวิญญาณ เนื้อหาของปรมัตถ์ ที่อาตมาอธิบายให้ฟังนี่ เรียกว่าปรมัตถสัจจะ คือ ความจริงที่เกี่ยวเนื่องกับจิต เจตสิก กิเลสนี่เรียกว่าปรมัตถสัจจะ สมมุติสัจจะก็เกี่ยวกับกิเลสเหมือนกัน ฆ่ากิเลสได้ จึงเจริญทางปรมัตถ์ นี่เป็นเรื่องของปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องของโลกุตระ เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้าที่แท้ ผู้ใดพิสูจน์ได้ ผู้นั้นจะเห็นของจริง เรียกว่า คนมีตาทิพย์ แล้วก็คนบรรลุธรรม บรรลุธรรมที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เป็นอย่างนี้เอ้า ทีนี้เข้ามาหาเรื่องความรัก ความหมายที่อาตมาได้กําหนด ให้คําจํากัดความไปบ้างนิดหน่อย เมื่อกี้นี้ ถ้าเรารักอย่างผู้หญิงผู้ชายนี่ เอาตื้นๆก่อน อย่างผู้หญิงผู้ชาย โลกทุกวันนี้ มันเดือดร้อน เรื่องสมสู่สัมผัสทั้ง ๖ ทวาร มันหนัก การกินนี่ สัมผัส ๕ ทวาร กินนี่อาหารนี่ติดรส มันตั้ง ๕ ทวาร รูปชวนกิน ใช่ไหม เห็นแล้วรูปชวนกิน สีชวนกิน นี่รูปทางตา กลิ่นชวนกิน รสใช่ไหม แตะลิ้นชวนกิน สัมผัสแตะต้องทางกายอะไรก็ได้ โอ้ จับนิ่ม น่ากิน กรอบน่ากิน สัมผัสแต่ไม่เกี่ยวกับเสียง มันมี ๔ ทวารแค่นั้นแหละ ทางใจนั่นยกไว้ อุปาทานในจิต มันก็มีแน่ ๕ ทวาร ๕ ไม่ใช่ กามคุณ กามคุณ ๔ แต่มีใจอีก ๑ นี่อาหารมีตั้ง ๕ นะ หรือมีตั้ง ๔ กามไม่ใช่ ๕ กาม ทวารเสียงเพราะฉะนั้น คนที่เขาจะหลอกมากๆ ร้านอาหารเขาถึงบอกว่า มันไม่ครบ เขาก็เลย เอาเสียงมาให้อีกอันหนึ่ง ไม่ใช่มาอยู่ในอาหารน่ะ เสียง ไปมีดนตรีกินข้าว เคล้าเสียงเพลงนั่นแน่ คนก็ครบบริบูรณ์เลย ทีนี้ก็ติดใหญ่เลย นอกจากจะไปกินข้าว ข้าวไม่อร่อย เสียงเพลงอร่อย กูก็ไปกินข้าววะ ร้านนี้เสียงเพลงมันดี อาหารไม่ค่อยอร่อย แต่เพลงมันดี ก็ไปกินได้ ใช่ไหม เขาก็เลยดึงลูกค้าเข้าร้านด้วยกาม ปรุงรสได้แค่ ๔ ทวาร

รสสู้เขาไม่ได้ เอาเสียงเอาดนตรี เอาเพลงมาล่ออีกทวารหนึ่ง ให้ครบเครื่อง กามคุณ ๕ นี่ คนมันเก่งอย่างนี้ มันเอาหมดเลย นี่เรียกว่ากาม สิ่งที่สัมผัสแตะต้อง ที่เราไม่รู้ แล้วเราก็เป็นทาสมัน ถ้าเรารักกามอย่างนี้ รักอย่างนี้มีทุกข์ ทุกข์นี่ควรเป็นบุญหรือควรเป็นบาป (ตอบ ควรเป็นบาป) พ่อท่านถ้ารักอย่างนี้แล้ว ควรรักไหม เรามาลดนะ ไอ้ที่ตอบนะนี่รู้เรื่องนะนี่ ใครนั่งหลับบ้าง ไม่นั่งหลับ ฟังดีๆแล้วรู้เรื่องใช่ไหม ควรมาลด ทุกวันนี้ต้องทันสมัย ล้ําสมัยนะ พวกอาตมานี่ อาตมาถือว่าเป็นพวกล้ํายุค พวกล้ําสมัยเขา คนทุกวันนี้ คนข้างนอกเขายังงุ่มง่ามๆ ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ยังไม่ทันใช่ไหม ทันสมัยต้องล้ําสมัย เราต้องเป็นพวกนําสมัย ต้องเป็นพวกเจริญ เป็นพวกทันสมัย ใหม่เสมอ ต้องเป็นพวกที่ล้ํายุคนําหน้าเขา นําหน้าไปในทางเจริญนะ ไม่ใช่นําหน้าไปในทางบ้าอย่างพวกนักร้องบางคน พวกอะไรนี่ นําหน้าไปในทางบ้าแล้วพาบ้านี่ ตอนนี้ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ ใส่แล้ว เห็นไหม กรุ๊งกริ๊งๆ ออกมาชุดใหม่นี่ หน้าตาใส่ตุ้มหูแล้วเดี๋ยวนี้ ก็ใส่ข้างหนึ่งแล้ว อะไรก็ไม่รู้ ห้อยไปตามนี้ ผู้หญิงยังสู้ไม่ไหวเลย แล้วใส่ตกแต่งกางเกงนี่ โอ้โฮ เจ้าประคุณเอ๊ย อาตมาเห็น ในหน้าปกเท็ป ชุดใหม่ กางเกงไม่รู้ลายอะไรต่ออะไร ผู้หญิงบางคน ยังไม่กล้าใส่กางเกงขนาดนั้น ใช่ไหม แต่เจ้านักร้องนี่ใส่แล้ว บ้าดีเดือดไปนําสมัยเหมือนกัน แต่นําสมัยแบบนี้ ควรนําไหม ไม่ควรเลย แต่เขาไม่รู้หรอก แล้วคนบ้าพวกนี้จะบ้าตาม เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า ยิ่งขายได้มากคนนิยมมาก แสดงว่าคนบ้ามาก หรือคนบ้าน้อย(ตอบบ้ามาก) คุณคนหนึ่งด้วยหรือเปล่า ? จริงหรือเปล่า ?(ตอบจริง) ใช่น้อย หรือใช่มาก?ใช่ ใช่พอสมควร ใช่ไม่น้อย หรือว่าบางคนก็ไม่ได้นิยมมาก ก็แสดงว่า เราไม่ใช่อย่างนั้นมาก เราเป็นผู้หญิงแท้ๆ ยังไม่บ้าตามนั้นเลย ปรุงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมันด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อย่างนี้ เป็นเรื่องกามทั้งนั้น หนักเข้าก็กลายเป็นเรื่องซ้อนเชิง เป็นเรื่องของการสัมผัสเสียดสีไป ฉะนั้น เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงหรอก พวกนักร้องนักรํา พวกนักอะไรพวกนี้นะ จะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ด จะเป็นวิตถาร ผู้หญิงก็เรียกไปตามประสาผู้หญิง อะไรก็ตามใจเถอะ เยอะแยะ ไม่ต้องห่วงหรอก เป็นเรื่องแน่ๆๆๆๆ

เพราะมันอยู่ในวงนี้ อยู่ในวงกาม อยู่ในวงอย่างนี้ สัมผัสเสียดสี แบบนี้วิตถารไป มันไม่รู้เรื่องหรอก เขาไม่ได้เรียน ใช่ไหม เขาก็บ้าดีเดือดไปตามเรื่อง คนที่รู้แล้วก็ละอายน่าอายแล้ว ทั้งๆ ยังเป็นบ้าอยู่อย่างนั้น ไปเป็นอย่างนั้น มันเป็นบาป เป็นความทุกข์ เป็นความต่ํา เพราะฉะนั้น คนเจริญจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอนสิ่งเจริญ เรามาเรียนสิ่งเจริญนี่ เราอย่าไปรักอย่างนั้นรักเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ทุกวันนี้ ถ้าเราลดเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ลดกิเลสเรื่องนี้ออกได้ ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า จริงๆให้ลดได้ เราทันสมัย นําสมัย ไม่ต้องไปสมสู่ แล้วไม่ต้องไปมีกามวิตถาร ไม่ต้องไปสัมผัสเสียดสี ผู้หญิงก็ไปผู้หญิง ผู้ชายก็ไปผู้ชายเพราะมันกลัวมีลูกใช่ไหม มันก็เลยไปตามเรื่องตามราว ไม่มีคู่ อายเพื่อน จะผู้หญิงกับผู้หญิงก็อาย กูมันคนเดียววะนั่น และมันไปเรื่องวิตถารเหมือนกัน ก็สัมผัสเสียดสีนั่นเอง เข้าใจไหม ฉะนั้น ใครมาลดได้ จนกระทั่งไม่มีอํานาจกิเลส สบายๆ เบา ทันสมัย นําสมัยเกินกว่าเขาคุมกําหนัดได้ ไม่ต้องเป็นผู้ที่จะสร้างความกําเนิดให้แก่คน เพราะคนมันล้นโลกแล้ว แล้วมีลูกได้ไหม คนที่ไม่ต้องไปเสพกามนี่มี ลูกได้ไหม(ตอบได้)ได้ทางธรรม ลูกทางธรรม อ้า อาตมามีลูกไหม(ตอบมีค่ะ)ฯลฯถ้าเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะมาลดกิเลสนี่ลด อย่าไปรัก อย่าไปผูกพัน อย่าไปหลงเสพอย่างนั้น รักอย่างที่กําลังกล่าวนี่แหละ ที่อาตมากําลังกล่าวกล่าวนี่ ลดลงมา เราไปติดอะไร ไปผูกพันอะไร แล้วอยากเอามาเสพสมสุขสมด้วย รักอย่างเสพอร่อย ไอ้อร่อยนี่เป็นของลวง เป็นสุขขัลลิกะ สุขสนธิกับอัลลิกะ ภาษาบาลี อัลลิกะ แปลว่าหลอกลวง อาตมาไม่แปลว่าหลอกลวง อาตมาแปลว่าตอแหล เอาให้มันหนักกว่านั้นก็แปลว่าสุขตอแหล แล้วเราก็ไปหลงเสพสุขตอแหลนี่อยู่ มันตอแหลจริงๆ มันหลอกลวงจริงๆ มันไม่ใช่จริงหรอก มาลดลงซิ พิสูจน์ดูซิ ไม่เชื่อ เห็นว่ามันเออ มันสงบ จิตสงบ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาเงียบนี่คือสงบ ไอ้อย่างนั้นมันก็สงบ สงบเสียง สงบกระดุ๊ก กระดิ๊ก แต่สงบของพระพุทธเจ้า นั่นคือกิเลสมันหมดแรงแล้ว กิเลสมันตายสนิท จนกระทั่ง มันไม่เกิดอีก น่ะสงบ เพราะฉะนั้น คําว่าสงบของพระพุทธเจ้า หมายถึง กิเลสนั่นแหละตายสนิท ถึงเรียกว่านิพพาน

ส่วนร่างกายชีวิตนี่ โอ้โฮ ยังคล่องแคล่ว พูดเสียงดัง มีประสิทธิภาพ สร้างสรรเพื่อคนอื่น สร้างสรรเพื่อใครต่อใครได้ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ต้องมาเสพให้แก่ตัวหรอก ตัวไม่ต้องเสพอะไรแล้ว จะกินข้าวก็กินเพื่อคุณ ไม่ได้กินเพื่อตัวเอง อาตมาเคยเทศน์ที่วัดมหาธาตุฯ เขามาถาม บอกว่า อาตมาไม่ได้เสพอะไรให้แก่ตัว อาตมากินข้าว อ๋อ พูดถึงเรื่องกินข้าว กินอาหารไปนี่ เขาก็ถาม อาตมาบอกว่า อาตมาไม่ได้กินเพื่อตัวเอง อาตมากินข้าวเพื่อคุณด้วย กินข้าวเพื่อคุณ คนฟังมีหนุ่มคนหนึ่ง ตะโกนแทรกขึ้นมาว่า มากไปแล้วหลวงพี่ เขาว่าอย่างนั้น เสร็จแล้วพอเทศน์เสร็จ นายคนนั้นแหละ เขาเข้ามา บอกผมไม่เชื่อ กินข้าวเพื่อคนอื่น เขามาถึงเลย มาประกบ เขาก็ถามบอกว่า อย่างน้อย เรากินเข้าไป ก็จะต้องเสพรสอร่อย เขาว่าอย่างนั้น มันต้องอร่อยล่ะ กินข้าวไม่อร่อยเหรอ เขาว่าอย่างนั้น บอกมันก็ต้องอร่อยน่ะ เพื่อตัวเอง อย่างน้อยก็อร่อยให้แก่ตัวเองน่ะอาตมาบอกไม่ อาตมาไม่ได้กินข้าวอร่อย เขาบอกไม่เชื่อ แล้วคุณจะเชื่อมันอย่างไร เพราะคุณติดมันอยู่ คุณอร่อยมันอยู่น่ะ อาตมาก็บอก คุณไม่เชื่อ อาตมาเชื่อว่าคุณไม่เชื่อ อาตมาเชื่อคุณ ว่าคุณไม่เชื่อ เพราะคุณยังไม่ได้ลดอร่อย ไม่ได้ลดกิเลสอร่อยตัวนี้ให้ได้จริงๆ แล้วคุณจะไปเชื่ออย่างไร มาพิสูจน์ซี มาปฏิบัติลดซิ แต่อาตมา ไม่ได้อธิบายยาวขนาดนี้หรอกน่ะ นี่ อาตมาอธิบายให้พวกคุณฟัง อาตมาไม่ได้อธิบายให้เขาฟัง ในวันนั้น มากขนาดนี้เรามาลดซิ การปฏิบัติธรรม จึงไม่ได้ปฏิบัติธรรมแต่แค่ว่า เรามาลดกิเลส เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เท่านั้น เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เราก็พยายามสังวร ระวัง หัดลดอาการที่เราไปปฏิพัทธ์ ไปผูกพัน ไปอยากได้มาเสพ มันเป็นเรื่องหลอก ลดได้ซิ เราก็ลด พยายามระงับด้วยเหตุผล ด้วยการกดข่มใจ แล้วเราก็มาลดอันอื่นด้วย ลดกิเลสทางตา หู จมูกลิ้น กาย เรื่องอาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอย เราติดในรูปมัน ในรสมัน ในกลิ่นมัน ในเสียงมัน ในอะไรต่างๆนานาพวกนี้ เรามาหัดปฏิบัติไปหมดทุกทวาร ทวารตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ ปฏิบัติลดจริงๆ เมื่อลดแล้ว เราก็จะรู้ความสงบกิเลส มันตายสนิท นั่นแหละ เรียกว่านิพพาน ได้นิพพานตัวหนึ่งแล้ว ได้นิพพานเรื่องหนึ่งแล้ว ตอนนี้ใครติดเค้กถั่วงาหน่อย ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วก็ไปหัดลดกิเลสใหม่ กิเลสมันไม่มีแต่เพียงดูด มันผลักด้วย กิเลสนี่ก็คือโทสะ เรียกว่าผลัก โลภะหรือราคะเรียกว่า ดูดมาให้แก่ตัว ถ้าโทสะเรียกว่า ผลักไม่ชอบ หรือพูดอีกภาษาหนึ่ง ก็ว่า ชังกับชอบ โลภะราคะนี่ชอบ โทสะนี่ชัง ผลักหรือดูดนั่นเอง บางทีรักมาก พอไม่ได้สมใจ เป็นอย่างไร

ผลักมาก โอย ชังกัน ๘ ชาติเลย อาฆาตกัน ๑๐ ชาติเลย มันแรงดูดมาก ก็ผลักมากได้ เพราะฉะนั้น ภาวะตีกลับ ทุกวันนี้ ไปจัดจ้านในอะไรก็แล้วแต่ ดูดมาก ยึดมากต้องการมาก ไม่ได้สมใจมาก โอ้โฮ ทีนี้ผลักมากเลย เดือดร้อน โกรธมาก แค้นมากเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้น อย่าไปสั่งสมอะไรมากๆไว้นะ รักมากก็แค้นมาก โกรธมากก็ประเดี๋ยว จะรักมากน่ะ ประเดี๋ยวมันจะไปยุ่งนะ เสียท่า แล้วทีนี้รักมากได้เหมือนกัน ไม่ดีนะนี่เป็นการเรียนรู้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ลดรสอร่อย ภาษาพระท่านเรียกว่า อัสสาทะ หรือโลกียสุขก็ได้ หรือ สุขขัลลิกะก็ได้ สุขหลอกลวง โลกียสุขก็สุขอย่างโลกๆ ได้สมใจมาในอะไร ก็แล้วแต่ แม้กระทั่ง เสพสุขทางทวาร ๕ ทวาร ๖ หรือได้ลาภมาสมใจในทางที่ได้เห็น ได้จับ ได้ต้อง ได้มาเอาเป็นของเรา ได้ยศมา ได้สรรเสริญมา ได้สัมผัสเสียดสีทวารทั้ง ๖ สมใจก็เป็นความสุข หรือ สุขในภพ สุขในจิตเรามานั่ง จิตของเราได้นั่งคิดอยู่คนเดียว ฟุ้งซ่านอยู่คนเดียวก็มันดี อร่อยนั่นก็เรียกว่าภพ ฝันเฟื่องไป จินตนาการไป สร้างภาพสร้างชาติไป เรื่องไหนพอใจก็ชื่นใจ เรื่องไหนไม่พอใจ ก็ทุกข์ไปอะไรไป ตามเรื่องตามราว คิดถึงความอาฆาต คิดถึงความรัก คิดถึงเรื่องราวอะไรก็แล้วแต่ คนชอบไปนั่งอยู่ในภวังค์ แบบนั้นก็เยอะ ยิ่งเดี๋ยวนี้ มีเรื่องข้างนอก มันเดือดร้อนวุ่นวาย ชักจะไม่อยากจะวุ่นวายกับใครแล้ว มานั่งให้ตัวเองบ้า ฟุ้งซ่านหนักเข้า ฟุ้งซ่านหนักๆ เลยทีนี้ ไม่รับคนอื่นแล้ว อยากจะอยู่ในภพของตัวเองคนเดียว คนอื่นอะไรมาม่รับไม่รู้ ไม่เกี่ยวไม่ข้อง จนกระทั่ง ไม่รับเรื่องของคนอื่น เอาแต่เรื่องของตัวเองเป็นเอก นานๆจะตั้งสติ รับกับคนอื่นบ้าง ตอนนั้นพอรู้เรื่อง เรียกว่ามีสติ ตอนไหนพูดกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เรียกว่าไม่มีสติ เรียกว่าคนสติเสีย คนสติเสียแบบนี้ อยู่ในภพของตัวเองคนพวกนี้ พูดกับคนอื่นไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดกับคนอื่นไม่ค่อยรับ พวกนี้ก็ส่งโรงพยาบาลบ้านั่นแหละ พวกนี้ล่ะเสพภพเป็นภวตัณหา เป็นกิเลส มันตัวกูของกู แน่ๆเลย อันนี้คนอื่นไม่เกี่ยว คนอื่นจะอย่างไร บางทีก็อยู่กับตัวเองนั่นแหละ คนอื่นเขาเห็น ก็ช่างเป็นไร ก็ข้าสุขของข้า นั่งพูดไปเองคนเดียว หัวเราะคนเดียว คนอื่นช่างมันเป็นไร กูของกูอยู่คนเดียว นี่ตัวกูของกูอย่างหนัก แม้แต่ไม่จัดจ้านอย่างนี้ก็ตาม พอลืมตา พอเห็นได้ยินเสียงคนอื่น อะไรก็รู้ ก็รับรู้เรื่องของคนอื่น แต่เผลอๆ ก็ไปแล้ว ตกภวังค์ นี่เรียกว่า สติตกเป็นคราวๆ เสพภพ เสพภวังค์ของตัวเอง เป็นคราวๆ อย่าบ่อยนักน่ะ บ่อยนัก ประเดี๋ยวก็เข้าโรงพยาบาล อย่างที่ว่านั้น

คนทุกวันนี้มันทุกข์ เพราะรอบด้าน อะไรต่ออะไร ไม่อยากจะรับรู้รับเรื่องอะไร ของคนข้างนอกมาก มันก็เลยตัดจริงๆ มันตัดจริงๆ มันก็เลยอยู่ภพของตัวจึงบ้า จึงเสียสติบ้า ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ มันทุกข์จริงๆ เรื่องข้างนอกมันทุกข์ มันรับมาก มันก็มีแต่เรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย แล้วไม่มีทางออก ไม่มีปัญญา ก็เลยต้องบ้าไปเยอะ ทั่วโลก ไม่ใช่แต่ประเทศไทย

นี่เป็นภวตัณหา อาตมาพยายามอธิบายให้ฟัง ภวตัณหานี่ยาก ยากกว่านี้อีก แม้จะไม่บ้าอย่างนั้น จะมาเสพภพ ที่อาตมาอธิบายไปหน่อยแล้วว่า ใจเราต้องการอย่างนี้ แต่เวลามีสติ ก็รู้กับคนอื่นเขามากอยู่ แต่เวลาเผลอๆ หรือไม่ก็เลี่ยง ไม่ต้องการพบกับใคร เหมือนอย่างฤษี ไปหากุฏิอยู่ ไปหารูอยู่ อยู่ภพอยู่ของตัวเอง ดีไม่ดีก็นั่งหลับ มันดี ไม่วุ่นดีโว้ย วุ่นก็วุ่นน้อยๆอยู่ในตัว อยากจะคิดอย่างไร มีกําลังคิดก็คิดบ้าๆ บวมๆไป ฝันเฟื่องไป อย่างโน้นอย่างนี้ไปตามเรื่อง ฟุ้งซ่านอยู่อย่างนั้นก็มี หรือมีวิธี ฤษีเขาสอน ก็มานั่งสะกดจิต ให้มันหยุดคิด หยุดอะไรหมดเลย นั่งหยุดคิด มันก็ยิ่งเบา เบาว่าง เขาก็เลยเห็นว่า โอ้นี่เป็นทางที่จะไม่ทุกข์ แต่เป็นภวตัณหา ก็เลยไปนั่ง วิธีการสะกดจิตหยุด ไม่คิด ไม่นึก ว่าง ว่างนะ สร้างว่างใส อากาศใส เขาเรียกในภาษาธรรมะว่า อากาสา หรือว่า อโลกสัญญา ไม่มีโลกอย่างโลกๆนี่ ไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง อโลกะก็คือ ไม่เป็นโลกอย่างโลกๆ ไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง ไปสัญญาอีกโลกหนึ่งว่างๆ เอาอากาศไม่มีที่สิ้นสุด แสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด มีแต่แสงสว่าง มีแต่อากาศว่างๆ มันจะมีแต่อย่างนั้น ไม่ให้มีเรื่องอะไรเลย ไม่ให้มีสีมีแสงอื่น ไม่ให้มีเรื่องอะไรอื่น เป็นโลกว่างๆ

จนกระทั่ง กําหนดสัญญา กําหนดแล้วก็ทําจิตของตัวเองได้ ได้อย่างนั้นน่ะ โอ้ โลกนี้ว่าง โอ้สบาย ว่าง กําหนดให้โลกว่างๆ ของตัวเองอยู่ จิตก็ไม่ได้อยู่โลกว่างๆหรอก ฝึกเอา ฝึกมากๆเอา ก็ได้ หรือจะปั้นเป็นรูปเป็นตัวก็ได้ อย่างธรรมกายนี่ ฝึกให้มันโล่งว่าง แล้วปั้นเป็นรูปว่าง แล้วก็ปั้นตัวใหม่ขึ้นมา ปั้นเป็นพระพุทธรูป พระพุทธรูปอย่างนี้ เรียกว่าโสดา พระพุทธรูปอย่างนี้เรียกว่าสกิทา พระพุทธรูปอย่างนี้ เรียกว่าอนาคา พระพุทธรูปอย่างนี้ เรียกว่าอรหันต์ เขาก็ปั้นไปๆจนได้ โอ้ บรรลุธรรมแล้ว ปั้นได้สําเร็จ เรียกว่า มโนมยอัตตา ภาษาของทางธรรมะ เรียกว่า มโนมยอัตตาก็ได้ ปั้นเอาได้ เสร็จแล้วเขาก็ถือว่า อย่างนั้นเป็นธรรมะ เอ้า ก็ว่าไป ดีเหมือนกัน ที่เขาสะกดจิตตัวเอง จนสงบได้ มันก็มีทางออก เพราะฉะนั้น วุ่นวายทางโลก เขาไม่เอา เขาก็มานั่ง ทุกข์เมื่อไหร่เขาก็มานั่ง สบาย เสร็จแล้ว ก็ไปเป็นพระอรหันต์ในนั้น พอลืมตาออกมา อรหอยหมดเลย มันไม่เป็นอรหันต์แล้ว เป็นอรหกหมด เป็นอรหอยหมดแล้ว มันก็ไปเลอะตามโลก เพราะมันไม่รู้เท่าทันโลก

ของพระพุทธเจ้านั้น รู้เท่าทันรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข รู้หมด เราไม่เป็นทาส ไม่อยากได้น่ะลาภ ทํางานแล้วมันก็เกิดอะไรเอง เกิดมาแล้ว สิ่งที่เราสร้าง เราปลูกผัก เกิดผัก ผักนี้ของเราสร้างขึ้นมา ก็เป็นสิทธิของเรา เราอยากจะให้ใครก็ให้ เป็นลาภ แล้วที่เราทํา มันก็ได้มาตามผล หรือบุญบารมีเป็นลาภ มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราสร้างอะไร เราก็ได้เป็นคุณค่าขึ้นมา ไม่ต้องอยากได้ แต่รู้ว่าสร้างแล้วมันได้ ก็สร้างซิ ได้แล้ว เราก็ไม่อยากได้อีกด้วย แจกจ่ายเจือจาน การให้การเกื้อกูล การแจกจ่ายเจือจาน ดีกว่าโลภโมโทสันไว้เป็นของตัว บอกแล้วว่า รักไว้เป็นของตัว หวงแหนไว้เป็นของตัว มันบาป อย่ารักอย่างนั้น เพราะฉะนั้น สร้างขึ้นมา ก็จงเอาไปให้คนอื่น สร้างขึ้นมาแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าไปให้ จนกระทั่ง ตัวเองไม่มีจะกิน ไอ้นั่นมันก็โง่ไป เสร็จแล้วตัวเองก็ แหม กระเบียดกระเสียร ไปเที่ยวได้ไปแย่งเอาของคนอื่น ไปเอาของคนอื่น ไปเบียดเบียนของคนอื่น ไม่เอา

เราสร้าง เราก็แบ่งกินแบ่งใช้ เพราะเรามีสิทธิ์นี่ เป็นสุจริตของเรา แล้วเราก็เอาอันนี้ ไปแบ่งคนอื่น หรือเอาไปแลก ถ้าเราจะใช้อันนั้น จะกินอันนั้น เราก็เอาสิ่งนั้น ไปแลกของคนอื่น มากินมาใช้ มันแลกไม่ได้โดยตรง ก็เอาไปขายเป็นเงิน เรียกว่าตัวกลาง เป็นธนบัตร เอาตัวกลางนี้ เราปลูกข้าว เราได้ข้าว เราเอาข้าวไปขาย ได้เงินมาเป็นตัวกลาง เราขาดเกลือ เราก็เอาเงินไปซื้อเกลือ เราขาดผ้า เราก็เอาเงินไปซื้อผ้าพอที่จะมาใช้ในชีวิตร่างกาย อาศัยปัจจัยสี่นี้นิดหน่อย พออาศัย พอคุ้มกาย กันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย พอมีอาหารกิน ให้ร่างกายมันสมบูรณ์ มีธาตุเลี้ยง มีธาตุอยู่อาศัยได้ มีกําลังวังชา สร้างสรรอยู่ พอมีที่นอนที่พัก พอมียารักษาโรค ถ้าเป็นโรคเป็นภัย ถ้าไม่เป็นโรคเป็นภัย ก็ไม่ต้องยาหรอก ไม่ต้องไปติดยา ไม่ต้องไปกินยาดมยา ดูดยาอะไรไม่เข้าเรื่อง ให้มันติดมากมาย เพราะฉะนั้น ปัจจัยสี่ เป็นหลักสําคัญคนที่เรียนรู้ มักน้อยลงไปแล้ว ก็สร้างปัจจัยสี่นี้เป็นหลัก ตอนนี้ เรากําลังถอยหลังเข้าคลอง มาสร้างปัจจัยสี่

ทุกวันนี้โลกมันแย่แล้ว ดินมันก็ไม่ไหวแล้วเน่า น้ําก็เน่า อากาศก็เน่า สิ่งแวดล้อม เน่าไปหมด เกิดจากใคร ตอบได้ไหม ว่าอะไรมันเน่าเป็นต้นเหตุ คนเน่า คนไม่เน่าหรอก นี่ยังไม่เน่า นี่ยังไม่ตาย อะไรมันเน่าแท้ๆ จิตใจมันเน่า เออ ชักเก่งนะตอนนี้ชักเก่ง แหม ตัดเคิร์ฟออกมาสี่นะนี่ ขนาดนี้ ได้สี่นะนี่เก่งนะ จิตวิญญาณเน่า เพราะมันโง่ มันไม่เข้าใจสัจธรรม แล้วมันก็เลย ไปทําอะไรเลอะๆเทอะ เลยพาอะไรเน่าหมด ข้าวก็เป็นพิษ ดินมันเป็นพิษ ดินมันเน่ามันเสีย น้ําเป็นพิษ ข้าวก็เป็นพิษ ต้นไม้ก็เป็นพิษ ผลหมากรากไม้ ก็ถูกมลพิษพวกนี้ ผสมผเสเจือจานอยู่ในนั้นเยอะ เราจึงเดินถอยหลัง เข้าหาความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ พยายามมาปรับดิน ให้มันมีมลพิษน้อยลง หรือไม่มีมลพิษ น้ําก็ให้มันสะอาดขึ้น ไม่ให้มีมลพิษ อากาศอุณหภูมิต่างๆ ให้มันได้สมดุล จนกระทั่ง มันประกอบกันขึ้นมา เป็นต้นไม้ เป็นสัตว์เป็นอะไรอยู่ขึ้นมา ให้มันสมบูรณ์

ปฐมอโศกนี่ พยายามสร้างขึ้นมา ตั้งแต่แผ่นดิน คุณเห็นแล้วใช่ไหม รูปมี ถ่ายเอาไว้ มีแต่แผ่นดินว่างเปล่า เดี๋ยวนี้ ถ้าไม่มีรูปให้ดู นึกไม่ออกหรอกว่า มันมาอย่างไรนั่นน่ะแผ่นดินว่างๆ โล่งๆ นั่นน่ะ เรามาตั้งแต่เริ่มต้นไถ แล้วก็เอาดินมาถมๆ ขึ้นมา นั่นที่ไปเดินๆนี่ ภูเขา น้ําตก ลําธารอะไร ที่บ้านปลูกไว้โน่นน่ะ ถมดินขึ้นมาตั้ง ๖๐-๗๐ ซม.นะ บางที่เป็นเมตร ถมขึ้นมา ยิ่งภูเขานั่นหลายเมตร ถมขึ้นมา แล้วก็ค่อยขุด ให้เป็นลําคลอง ตามเรากะเสียก่อน แล้วก็ค่อยๆปรับตัวมา ค่อยๆปลูกบ้าน ปลูกเรือน ปลูกต้นไม้ขึ้นมา กว่าจะเป็นรูปนี้นี่ ๖-๗ ปีย่างขึ้นมาแล้ว ได้รูปนี้ คนมาดูตอนนี้ ถ้าไม่บอกภูมิหลังไม่รู้เรื่อง โอ้ที่นี่ทําไมมีน้ําตกน่ะ ไม่รู้ล่ะ เราบันดาลขึ้นมา ทําไมมีภูเขาละ เราบันดาลขึ้นมา อาตมาต้องกลายเป็นพระเจ้า พากันไปสร้างเป็นพระเจ้า พวกเรานี่ มาจากพระเจ้า ช่วยกันสร้าง สร้างภูเขา สร้างแม่น้ํา สร้างลําธาร สร้างน้ําตก สร้างต้นไม้ ใครเคยอ่านประวัติพระเยซูพระเจ้าบ้าง ใครเคยอ่านบ้างล่ะ มีวันที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ อะไรนี่ วันนี้ก็สร้างอันนี้ก่อน สร้างภูเขา แม่น้ํา ลําธาร เรากลายเป็นคนสร้างจริงๆ สร้างแล้วมันก็เป็นจริง

เรารู้จักด้วยหลักวิทยาศาสตร์ เรารู้มามากแล้ว เดี๋ยวนี้น่ะ น้ํามันจะสะอาดยังไงมันจะต้องสังเคราะห์กับแสง สังเคราะห์กับไอ้โน่นไอ้นี่ เกิดอากาศ เกิดแก๊ส เกิดโน่น เกิดนี่ เกิดฆ่าจุลินทรีย์อย่างนั้น มีจุลินทรีย์อย่างนี้ไว้ จุลินทรีย์อย่างนี้ดี คนได้รับ จุลินทรีย์อย่างนี้ ก็ใช้ในร่างกาย จุลินทรีย์อย่างนี้ มีเท่านี้พอ มีมากไปไม่ดี จุลินทรีย์อย่างนี้ อย่าเอาเข้าไปเลยในร่างกาย เอาเข้าไปแล้ว ประเดี๋ยวก็ยุ่ง ประเดี๋ยวก็ไม่สบาย เราก็รู้ เราก็จัดแจงเอา ปรับ อะไรไม่ต้องการ เราก็เอามันออก ทําให้มันหายไปอะไรต้องการ เราก็มีไว้ เพราะฉะนั้น ในน้ําพวกนี้ คนเรานี่ ภูมิคุ้มกันต่ํามาก ทุกวันนี้ น้ําที่กิน ก็สะอาดเกินไป น้ําที่ใช้ ก็สะอาดเกินไป พอมาเจอน้ําที่ขนาดนี้ เอ้า แย่แล้ว เห็นไหมนี่ พออาบน้ําไอ้พวกนี้ ต้องไปหยอดตา ต้องไปคันตรงนั้น ต้องเป็นผื่นตรงนี้ เพราะภูมิคุ้มกันต่ํา ส่วนคนที่ภูมิคุ้มกันของเขาไม่ต่ํา ก็อาบน้ําเดียวกันน่ะ มันก็ไม่เป็น ไอ้ที่เป็น นั่นก็คือส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เขาอยู่ไปอีกต่อๆไป ภูมิคุ้มกันเขาขึ้นมาเอง เขาก็อาบได้ นี่ให้อยู่ทุกคนนี่นะ ให้อาบนี่ตาแดงบ้าง มีผื่นบ้างนี่นะ อาบเถอะ อาบไปเถอะ อาบไป อาตมาว่า มันคงไม่ถึงเดือนหรอก อาบได้ตลอดไป ภูมิคุ้มกัน ก็สมบูรณ์แข็งแรง หรือว่ามันจะมีพิษ มีธาตุพอ ที่จุลินทรีย์อะไร ที่มันไม่ดี เราจะตรวจเหมือนกัน น้ําพวกนี้ เราก็เอาไปตรวจ ถ้าอันไหนมันไม่ดี เราก็พยายามหาทาง ที่จะมาลดลง อันไหนมีดีก็ทิ้งไว้

ในร่างกายของมนุษย์ มีจุลินทรีย์อยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ บางคนจุลินทรีย์บางอย่างน้อย โรคห่ามานี่ เขาบอกว่า ห่ามา เมื่อวานนี้หนังสือพิมพ์ อหิวาต์ เราต้องไปฉีด เชื้ออหิวาต์เข้า ไข้ทรพิษมา เอ้า ไม่มีภูมิคุ้มกัน ฉีดเชื้อไข้ทรพิษเข้า ใช่ไหม เราต้องมีสิ่งเหล่านี้ อยู่ในร่างกายพอสมควร ที่เราจะต่อสู้กับสิ่งมันจะมา ถ้าไม่อย่างนั้น ภูมิคุ้มกันต่ําหมด อะไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้น ถึงง่าย ที่จะเป็นโรค แย่นะ เอาละ อาตมาวิเคราะห์อะไรพวกนี้ มันเกี่ยวกับชีวิต ให้ฟังว่า เราจะต้องเป็นผู้รู้รอบ ในเรื่องเหล่านี้ เราจึงจะอยู่กันอย่างเป็นสุข อยู่กันอย่างแข็งแรง อยู่กันอย่างสบาย เพราะฉะนั้น เรามาเดินเข้าหาธรรมชาติ เรามารักอย่างไร จะไม่เป็นบาป

ทุกวันนี้ คนไม่ค่อยรักน้ํา คนไม่ค่อยรักดิน ไม่ค่อยรักต้นไม้ ไม่ค่อยรักอากาศ ต่างคนต่าง ปากพูดได้น่ะ ฉันรักดิน แต่เขาก็เอาขยะเน่า ลงไปในดิน ทําให้ดินเสีย ฉันรักน้ํา แต่เขาก็ทําสิ่งที่ ทําให้น้ําเสีย ฉันรักอากาศ แต่เขาก็พ่นสิ่งที่ไม่ดี เข้าไปในอากาศ ฉันรักต้นไม้ ฉันก็จะตัดต้นไม้ ฉันก็จะทําลายต้นไม้ ฉันรักอะไร ก็พูดได้แต่ปาก ความจริงเขาไม่เป็น เพราะฉะนั้น เราต้องมาเป็น เราต้องมารักดิน จริงๆ หลายคน ไม่กล้าจับหรอกดิน แต่ทําให้มันเน่า ทําให้มันเสียเก่ง แต่ดินไม่จับ เพราะมันดินเน่า เอาน่ะ เหมือนกับเราเป็นแพทย์ เหมือนเราเป็นพยาบาล พยาบาลต้องจับคนไข้ บางทีเชื้อโรคก็ต้องถูกแตะต้อง แต่ก็ต้องป้องกัน ใส่อะไรบ้าง เชื้อโรคนะ แต่ดินก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก จับดินก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่จะใส่ถุงมือก็ได้ แต่มันไม่ค่อยถนัดหรอก แต่ดินนี่ มันไม่มีเชื้อโรคแรง เหมือนอย่างกับ เชื้อโรคบางเชื้อโรค อย่างหมอ อย่างพยาบาลอะไรนี่ เขาต้องใช้ เราก็แตะต้องบ้าง เราต้องทํา ไม่อย่างนั้น ตกลง หมอก็รังเกียจ อื้อๆ ไม่เอา เชื้อโรคคนป่วย พยาบาลก็ ฉันก็เอาเชื้อโรคคนป่วย เลยตายกันหมดเลย มันไม่เหลือเลยคน ก็ไม่เหลือ ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เหมือนกัน ดินมันเสีย แต่มันไม่ร้ายแรงเหมือนคนที่มีเชื้อโรคด้วยซ้ํา เราก็ต้องจับดิน ทําดิน นี่เราก็ต้องทํา ปรับมัน น้ํามันเสีย เราก็ต้องจับน้ํา ทําน้ําให้ดี เพราะฉะนั้น น้ําอะไร ควรจะอยู่ยังไงๆๆๆๆ ถ้าจัดแจงให้มันอยู่ในที่ของมัน ได้สัดได้ส่วน ได้พอเหมาะพอดี ไม่เข้มเกินไป มันก็ดีแล้ว มันมีสัดส่วนพอดี ไม่เข้มเกินไป จางเกินไป อันนั้นก็ไม่ได้คุณค่าประโยชน์ ถ้าเราเอาขี้ไก่ เอาขี้หมูอะไร มาวางไว้บนศาลานี่ เราเรียกมันว่าอะไร รู้ไหม(ตอบ ขยะ)

ถ้าเราเอามันไปไว้ตามที่ต้นไม้ ขี้ไก่ก็ดี ขี้หมูก็ดี ให้มันได้สัดส่วนพอดี พอเหมาะ เราเรียกมันอะไร(ตอบ ปุ๋ย)

เห็นไหม ตัวเดียวกัน ก็เรียกผิดกันแล้ว อันหนึ่งเรียกขยะ อีกอันหนึ่งเรียกปุ๋ย ถ้าขยะมากๆ ก็เน่า สะสมกันเข้า หมักหมมกันเกิดจุลินทรีย์ เกิดนั่นเกิดนี่ เละเลยนี่เอามาซี เอากองขี้ไก่ มากองบนนี้มากๆเข้า นี่เดี๋ยวเละกันใหญ่เลย เดี๋ยวก็เน่า แล้วก็เกิดเชื้อโรคบานตะไท แต่ถ้าเราเอาไปแยกย้าย ให้มันอยู่ ได้สัดได้ส่วน มันจะเป็นของดี ฉะนั้น การเรียนรู้วิชาขยะ จะต้องเรียนรู้อย่างดี อากาศก็เหมือนกัน น้ําก็เหมือนกัน น้ําได้สัดส่วน ไม่ใช่ไม่มีจุลินทรีย์เลยนะ น้ํามีจุลินทรีย์ประมาณนั้น เป็นน้ําที่ควรใช้ ควรดื่ม น้อยไปก็ไม่ดี มากไปก็ไม่ดี ทุกวันนี้มันทําน้อยไป น้ําที่ดื่มทุกวันนี้น่ะ โอ้ย มันจุลินทรีย์ที่ต้องการน้อยเกินไปน่ะ ทุกวันนี้ ที่ดื่มๆกันนี่ เสร็จแล้วเป็นยังไง อ่อนแอ พอไปดื่มน้ําผิด นิดหน่อย ไม่ไหวแล้ว แย่แล้ว คนชาวชนบทนี่นะ เขากินน้ําในแม่น้ํา แต่เดี๋ยวนี้ คงกินไม่ไหวแล้วล่ะ มันเน่าแยะ จุลินทรีย์โอ้โฮ มันไม่ไหว แต่ก่อนนี้ธรรมดา แม่น้ําลําธารพวกนี้ พวกพายเรือขายของตามแม่น้ํา ใครเคยอยู่บ้านนอกบ้าง ธรรมดาพายเรือขายของ พอเวลาร้อนมา โอ้ย กินน้ํา ก็เอาขันที่ในเรือ หรือไม่ก็ชาม คนขายก๋วยเตี๋ยวเรือ อย่างนี้เป็นต้น จ้วงน้ําดื่มสบาย น้ําในแม่น้ําน่ะ ดื่มธรรมดา ทั้งๆที่บางทีเห็นขี้ลอยตุ๊บป่องๆ เพราะในแม่น้ํานี่ มีคนขี้ลง ใช่ไหม มีคนขี้ลง ลอยตุ๊บป่องๆ เขาก็ตักน้ํานั่นดื่มสบาย เขาก็ไม่เป็นไร เพราะภูมิคุ้มกันเขาพอ แล้วมันก็ มีได้สัดส่วน พอที่จะฆ่ากันได้ อยู่กันได้ เขาไม่เป็นไรหรอก

แต่เดี๋ยวนี้ อาตมาก็ไม่แนะนําให้พวกคุณไปดื่มหรอก มันไม่สะอาด มันเสี่ยงไม่ไหว เราก็มีภูมิคุ้มกันต่ําด้วย แล้วไอ้พวกโน้นมันก็จัดด้วย เพราะน้ํามันเสียมาก มันสู้ไม่ไหวหรอก อาตมาก็ไม่แนะนํา แต่ถ้าเผื่อว่า ภูมิคุ้มกันเราดีนะ แม้แต่น้ําในลําธารนี่ก็ดื่มได้ ขนาดนี้ก็ดื่มได้ แต่ทุกวันนี้ อาตมาก็ยังไม่แนะนําให้ดื่ม เพราะว่า เราต้องสร้างภูมิคุ้มกันของตัวร่างกายของเรา ให้แข็งแรงด้วย แล้วก็จนกระทั่ง เราทําน้ํา ให้มันสะอาดลงมา ให้ได้สัดส่วน ให้มันพอดีกัน น้ํานี่เราก็ดีขนาดนี้ ภูมิคุ้มกันเราก็สูงมาขนาดนี้ ก็อยู่ด้วยกันได้ ต่อไปไม่ต้องมานั่งรอน้ําฝน ไม่ต้องมานั่งรอน้ําอะไรต่ออะไร ที่มันนั่นแหละ ดื่มได้ น้ําในแม่น้ําลําธาร เราก็ดื่มได้ อะไรอย่างนี้ มันจะเป็นไปนี่ อาตมาเล่าให้ฟัง

สรุปแล้ว ก็คือทุกวันนี้ เราจะต้องมาทําความรัก ไม่ใช่จะรักแบบเสพสมนะ ตอนนี้ ต้องเข้าใจความหมาย มารักดิน รักน้ํา รักลม รักไฟ รักต้นไม้ รักธรรมชาติ รักสิ่งแวดล้อม แม้แต่รักอุจจาระหมู อุจจาระหมา อุจจาระไก่ อุจจาระอะไรนี่ ต้องรัก รักเพื่อปรารถนาดี บอกแล้ว ความรักของคนที่เห็นแก่ตัวน่ะ เป็นความรักทางกาม ความรักเห็นแก่ตัวนั้น เป็นพิษเป็นภัยนั้น เป็นบาป ถ้ารักอย่างเมตตา รักอย่างรังสรรค์รักอย่างปรารถนาดี ผู้หญิงผู้ชายเรารักกัน เรารักกันอย่างปรารถนาดี หวังความดีต่อกัน ไม่รักอย่างกาม ต้องการสมสู่เสพสมอย่างที่ว่านั้น ต้องตัดกิเลสอันนั้น พอตัดกิเลสอันนั้นได้แล้ว ก็รักกันอย่างพี่อย่างน้อง ปรารถนาดีต่อกัน รักกันอย่างพ่ออย่างลูก อย่างแม่อย่างลูก รักกันอย่างญาติ อย่างมิตร ปรารถนาดีต่อกัน คนไหนเป็นทุกข์ อันไหนไม่สมดุล อันไหนขาดแคลน เราก็เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน อันไหนเกิน เราช่วยกันเอาออก กิเลสมันเกิน นี่ช่วยกันเอากิเลสออกอยู่ ทุกวันนี้ นี่อย่างนี้เรียกว่า เป็นความรักแบบพระเจ้า อย่างศาสนาคริสต์เขาบอก เป็นความรักมิติสูง ใครอยากรู้เรื่องความรักมากๆ ไปอ่านความรัก ๑๐ มิติ อาตมาไม่อธิบาย อย่างนัยอย่างความรัก ๑๐ มิตินะ อันนั้น มันบอกไว้ เห็นค่าของความรักที่สูงขึ้นไปตามความหมาย ซึ่งอธิบายเอาไว้แล้วในหนังสือ ความรัก ๑๐ มิติ

แต่วันนี้ อาตมาพยายามอธิบายความรัก ในชนิดที่ให้คุณ เอาไปใช้ได้ทันที แล้วกว้างกว่า ๑๐ มิตินั้นด้วย อธิบายเกลี่ยไปทั้งหมด เพราะฉะนั้น เรารักในความหมาย ความปรารถนาดีต่อกันและกัน ไม่ใช่รักอย่างต้องการมาเป็นตัวกูของกู เสพสมเป็นของกู หรือเสพรสอร่อยให้แก่ตัวเอง ถ้าความรักอย่างนั้นบาป อย่างนั้นเลวไม่ดี เป็นการรักเพื่อเกื้อกูล รักเพื่อเอื้อเฟื้อออกไปให้มาก รักเพื่อปรารถนาดีต่อสิ่งอื่น ทั้งแม้แต่ดินน้ําไฟลม แม้แต่ขี้ไก่ อย่างที่อาตมายกตัวอย่างไปแล้ว เราก็รัก เราก็ดูแลมัน เอาละ เราขยะแขยง จะตักมันไป เอาอะไรรองรับก็ได้ จัดแจงให้มัน รู้จักช่วยเหลือมัน ขี้ไก่มันช่วยตัวเองของมันไม่ได้ เราช่วยเหลือมัน มันมาอยู่ผิดที่ เอามันไปเป็นคุณค่า ปรารถนาดีต่อขี้ไก่ เป็นประโยชน์ อย่างนี้เป็นต้น เข้าใจนะ ซึ่งไม่ใช่เรื่องลึกลับ อาตมาอธิบายชัดเจนแล้ว อะไรก็แล้วแต่ มลพิษเกิด ถุงพลาสติกเต็ม เกลื่อนอยู่ในดินมีเรี่ยราด อาตมาเดินไปเมื่อไหร่ เจอะก็เก็บเอามาทิ้งในถังขยะ เอาทิ้งในที่ที่เรา จะไปกําจัดเสียอีก หรือสิ่งที่มันรก มันไม่ควรอยู่ จัดให้มันเข้าที่ ใบไม้อยู่ตรงนี้ มันไม่ควรอยู่มันไม่สะอาด มันไม่สะอ้านตา ไม่ควรจะอยู่ อยู่ก็ไร้ประโยชน์ เอาใบไม้ เอามาไว้ที่ใส่สุมใต้ต้นไม้ มันก็จะได้เป็นปุ๋ยให้แก่ต้นไม้ ก็ดีกว่ากิ่งไม้กิ่งไร่ สิ่งนั้นเป็นโลหะ สิ่งนี้เป็นแก้ว สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สลายไม่ออก เอาไปเก็บในที่ ที่ควรจะเอาไปสลาย หรือเอาไปที่อื่น ถ้าเอาไว้อย่างนี้ จะกลายเป็นภาวะอุดตัน ภาวะที่เป็นพิษ เป็นมลพิษ เราก็แยก จัดแจงมันซะ ตรงไหนไม่สะอาด ตรงไหนต้องการไม่ให้มีคราบมีไคลเลย ก็เอาออก ตรงไหน ต้องการให้มันมีคราบมีไคลอยู่ เพื่อรักษาสิ่งนี้ ก็เอาไว้

นี่เป็นความรู้ในเรื่องขยะวิทยา ใช้ภาษาอังกฤษ เรียกว่า “garbology”มาจากคําว่า”garbage”แปลว่าขยะ garbology ขยะวิทยา อาตมากําลังพูดไปอยู่นี่ มหาวิทยาลัยไหน จะเริ่มตั้งคณะนี้ ไปเรียนเถอะรวย เพราะว่าขยะนี่เขาจะทิ้ง ใช่ไหมเราจะได้ขยะนี้มาเป็นวัตถุดิบ ที่เราจะต้องทําการสังเคราะห์ ทําอะไรต่ออะไร ทําได้จริงๆนะ ทําบริษัทสังเคราะห์ขยะนี่รวย นะ จริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มีอยู่แล้ว หลายเจ้าที่เขาทําอยู่ หรือพวกที่ไปนั่งนอนเฝ้า อยู่ที่กองขยะนั่น เขาก็สังเคราะห์กัน

โดยวิธีง่าย ก็ทํามาหากินอยู่ในกองขยะ แย่งกัน ยึดสัมปทานกัน ตีกันอยู่ในกองขยะนั่น ใครไม่เคยไปอยู่ หรือใครไม่เคยไปรู้ จริงนะ แย่งสัมปทานขยะ มุมนี้กองนี้ฉันนะ มาเทเมื่อไหร่ฉันนะ แก ละลาบละล้วง อย่านะ คนละเขต ทะเลาะกัน แย่งชิงกัน ถึงอย่างนั้น ถ้าเราทําจริงๆ เอาซิ รับขยะมาเดี๋ยวนี้ เอามาเทที่ฉันก็ได้ มีที่เยอะ สังเคราะห์ขยะขาย อันไหนจะแยกไปเป็นปุ๋ย ไปเป็นสิ่งที่จะต้องใช้ อย่างนั้นอย่างนี้ อันไหนที่จะทําให้สลาย ก็เอาไปสลาย อันไหนที่สลาย เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ กลับคืนมาก็ได้ หมุนเวียน แก้วก็เอามาสลาย หมุนเวียนได้ โลหะก็เอามาหล่อหลอมสลาย หมุนเวียนได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่เล่นนะ ทําเป็นโรงงาน ไปตั้งบริษัทสังเคราะห์ขยะนี่ ใครจะมีบริษัทแรก ต้องเรียนนะ ต้องเรียนทางวิทยาศาสตร์ ต้องเรียนทั้งทางพาณิชย์ ทางอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ทางสังคม ต้องเรียนน่ะ วิชาขยะศาสตร์ แหม ขยะศาสตร์นี่ อาตมาฟังแล้ว มันไม่ค่อยเพราะ เรียกขยะวิทยาจะเพราะกว่า วิชาขยะวิทยานี่ มันน่าจะตั้ง ไม่มีใครตั้ง ประเดี๋ยวอโศกเราเก่งๆหน่อย เราจะตั้ง เรามีมหาวิทยาลัย ก็ตั้งคณะขยะวิทยา เอ้าพวกคุณ จะอยู่เรียนรุ่นหนึ่ง ก็เอา รุ่นที่ ๑ นี่เรียนออกไปแล้ว ไปทํางานให้แก่สังคมมนุษยชาติ ไปทําให้แก่โลก

เอาละ ทีนี้เข้ามาหาความรัก เราจะต้องรักสิ่งที่เราถูก เรารู้ เรามีปัญญาแล้วต้องรัก บอกแล้วนะ แยกออกเป็น ๒ อย่างง่าย
๑. รักเห็นแก่ตัว รักมาเสพสมสุขสม เป็นตัวกูของกู อย่างนี้รักอย่างบาป ถ้ารักอย่างเมตตาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อปรารถนาดีต่อสิ่งนั้นๆ รักอย่างนี้เป็นบุญ ปรารถนาดีต่อคน เราต้องการให้เขาได้เจริญงอกงาม อย่ามากลายมาเป็นทาส ให้เราเสพสม อย่างผู้ชายรักผู้หญิง รักแบบต้องการเอามาเสพสม มาเป็นทาสบําเรอกาม อย่างนี้บาป ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งบาปมาก เพราะทุกวันนี้ ไม่จําเป็น อย่างที่อาตมาบอกแล้วว่า ไม่จําเป็นหรอก เพราะผู้หญิงมีทุกข์มาก โดยสัจจะนะ อาตมาขอแวะตรงนี้อีกนิดหนึ่ง ผู้หญิงเกิดมาเป็นทุกข์ เกิดมาเป็นสิ่งที่ เป็นสภาพ ที่พูดจริงๆนะ อย่าพูดว่าข่มผู้หญิงนะ ผู้หญิงนี่ต่ํากว่าผู้ชาย นี่ไม่ใช่ข่มนะ ฟังดีๆ เดี๋ยวนี้พวกที่มีมานะอัตตา แหม ต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน อาตมาเคยบอกว่า เอาเถอะ คุณอยากเท่าเทียมกับผู้ชาย ก่อนอื่น คุณเอาเวลาจะมีลูก แล้วต้องให้ผู้ชายมีลูก ผลัดกันมีให้ได้ ถ้าอย่างนี้แล้ว ก็เท่าเทียมกัน ถ้ายังผลัดกันมีลูกยังไม่ได้ ไม่มีทางเท่าเทียมกัน ไม่ได้ ฉันจะออกไปทํางาน ออกไปทํางานอะไร ท้องโตอย่างนี้ ไปทํางานอะไรหวัดไหวล่ะ ไม่ได้ ผู้ชายเขาไม่มีโอกาสท้องโต มันต่างกันนะ เพราะฉะนั้น คุณจะต้องบอกว่า ถ้าเท่าเทียมกัน ไม่เป็นไร ตอนนี้คุณต้องมีลูก คุณอยู่บ้าน ฉันไปทํางานข้างนอก ผลัดกันซิ ผู้ชายมีลูก แล้วผู้หญิงมีลูกถึงเวลาเอ้าฉันมีลูกบ้าง เอ้า คุณออกไปทํางานผู้ชาย ถึงเวลาผู้ชายมีลูก ฉันออกไปทํางานฉัน ผู้หญิงเท่าเทียมกันซิ คุณทําไม่ได้ ถ้าทําได้ อาตมายอมรับ นี่ทําไม่ได้
อย่างศาสนาคริสต์เขาก็ถือว่า ผู้หญิงนี่ แค่กระดูกซี่โครงของอาดัมเท่านั้น จะมาเท่าเทียมอะไร ถ้าพวกถือพวกศรัทธาในศาสนา เขาไม่เถียง ส่วนพวกที่ เขาไม่ค่อยศรัทธาศาสนาแล้ว เขาเถียงเลย ทีนี้บอก เออ ไอ้นั่นมันนิทานโบราณ ไปโน่นเลย เขาไม่ศรัทธา เขาไม่เชื่อถือเขาก็เถียง อาตมาก็หยุดเถียงกับเขา เพราะว่า พวกนี้ เถียงกันก็ไม่รู้เรื่อง
เอ้า ทีนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ ผู้หญิงมีทุกข์หลายอย่าง เกิดเป็นผู้หญิงนี่
๑. ทุกข์เพราะจะต้องมีประจําเดือน ส่วนมากก็จะต้องปวด ต้องทรมาน คนไม่ปวดได้ ก็บุญไป ใช่ไหม คนไหนที่มีประจําเดือนไม่ปวด ถือว่าบุญน่ะ ทุกข์!
๒. ทุกข์เพราะจะต้องมีครรภ์ ต้องอุ้ม โอ้โฮ ยิ่งกว่าแตงโม กว่าจะคลอดนี่ โอ้ นั่งก็ลําบาก นอนก็ลําบาก ไปไหน ก็ไม่ได้วางสักทีหนึ่ง เหมือนกับเอาอะไรมาไว้งั้นน่ะนะ

ก้อนเบ่อเร่อเลยนะ แล้วต้องคอยระวังด้วยนะ โอ้กระทบกระแทกอะไรก็ไม่ได้ กระเทือนอะไรก็ไม่ได้ โอ้ ยิ่งกว่าถืออะไรไว้ คุณหัวเราะ คุณยังไม่มีกัน ก็อย่าทําเป็นหัวเราะเถอะ ไปมีเข้าจริงๆแล้ว จะรู้สึก

อาตมามีเพื่อนคนหนึ่ง ผู้หญิงน่ะ เขาแต่งงาน เสร็จแล้วมีวิบากอะไรก็ไม่ทราบได้ พอท้องแล้ว นอนราบก็ไม่ได้ มันปวดมันเจ็บ นั่งตรงๆได้ แต่นอนราบไม่ได้ ฉะนั้นถ้านั่ง ก็ได้แต่นั่ง พอถึงเวลานอน ทําอย่างไร โอ้ นอนไม่ได้ นอนได้ก็ต้องเอนยังงี้ นอนท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน จนกว่าจะคลอด เสร็จแล้ว มีลูกได้ถึง ๒ คน ๓ คน เวรแท้ๆ โอ้โฮ คนเรานี่ มีลูกทีไร ทุกข์อย่างนี้ทุกทีเลย นอนราบไม่ได้ นี่เรื่องจริงนะ ตั้งแต่สมัยอาตมาเป็นครู เขาเป็นเพื่อน เป็นครูอยู่ด้วยกัน เขาแต่งงานแล้ว เขาก็มีลูก โอ้ ทุกข์ หลายๆคน ทุกข์หลายๆอย่าง

  • ๑. มีประจําเดือน
  • ๒. มีครรภ์
  • ๓. คลอดลูก

แหม คลอดลูกนี่ มันทุกข์ เคยได้ยินไหมเล่า แม่คลอดลูกเป็นอย่างไร ร้องบ้านแตกเลย ไปโรงพยาบาล ก็ร้องที่โรงพยาบาลนั้นแหละ ด่าพ่อล่อแม่กันขรมเลยนะ กูเข็ดแล้ว กูไม่เอาแล้ว เดี๋ยวปีหน้า มาใหม่ ร้องใหม่ โอ้ย คนเรามันโง่จริงๆ ทุกข์นะ ฉะนั้น เราต้องเห็นบุญคุณของพ่อแม่ แบกทุกข์มามากมาย พ่อแม่มีลูก เพราะความไม่รู้ ถ้าคุณรู้แล้ว อย่าไปมี รู้ทันแล้ว อย่าไปมี แล้วไม่มีได้ ก็คือลดกิเลส ลดกําหนัด อย่าไปต้องมีสมสู่อย่างนี้ เมื่อไม่มีสมสู่อย่างนี้ มันก็ไม่มีลูก ใช่ไหม เกิดอยู่ดีๆแล้วพระเจ้าเอามาบันดาล ใส่ท้องให้เรา ไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ไปสมสู่ มันไม่มีทางมีลูกได้หรอก ใช่ไหม เพราะฉะนั้น อย่าไปมี ทุกข์เพราะมีครรภ์ ทุกข์เพราะคลอดลูก

๔.ทุกข์เพราะต้องจากบ้านจากเรือน จากญาติ จากพ่อจากแม่

ผู้หญิงนี่เป็นธรรมเนียม ยิ่งคนจีนแล้ว จะต้องเป็นคนของเขา ธรรมเนียมจีน เราแต่งงานไปแล้ว จะต้องเป็นลูกของบ้านเขา เป็นคนของเขาแล้ว ถือว่าเป็นคนของเขาแล้ว ถึงใครก็เหมือนกันแหละ แต่งไป ก็ไปเป็นลูกสะใภ้ของบ้าน ต้องใช้นามสกุลของบ้านโน้น ฝรั่งก็เหมือนกัน ก็ไปใช้นามสกุลของบ้านโน้น จะต้องพลัดพรากจากตระกูล จากพ่อแม่พี่น้อง ไปเป็นคนของที่อื่นแล้ว ทุกข์เพราะต้องแยกต้องจาก

๕. ทุกข์เพราะต้องเป็นผู้บําเรอชาย

เจ็บมากตรงนี้น่ะ อาตมาว่าผู้หญิงนี้ น่าจะรู้สึก ต้องเป็นทาสบําเรอชาย แหม อาตมาเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังรู้สึกว่า โอ้โฮ มันเสียศักดิ์ศรีเหลือเกิน เป็นทาสบําเรอชาย พระพุทธเจ้านี่ลึกซึ้ง ซับซ้อน ด้วยจิตวิญญาณชั้นสูง ให้เห็นว่า แหม มันน่าสมน้ําหน้าแล้วไม่รู้ตัว อยู่ดีๆ ดิ้นไปให้เขาบําเรอ ไปบําเรอเขา โอ้ เป็นผู้หญิง ไม่มีศักดิ์ศรี เป็นศักดิ์ศรีดีๆนะ เป็นผู้หญิง อย่าไปบําเรอชาย เข้าใจไหม แล้วจะเชื่อบ้างไหมเล่านี่เข้าใจน่ะ จะเชื่อบ้างไหม อย่าไปบําเรอชาย เป็นศักดิ์ศรีของเรา จริง ธรรมชาติเขามาอย่างนั้น แต่เราต้องเหนือธรรมชาติ โลกุตระนี่เหนือโลก เหนือธรรมชาติ คนที่ฆ่ากิเลสตายแล้วนี่ ใครเขาบอกว่า เรื่องสมสู่เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ศาสนาพุทธเราโลกุตระ เหนือธรรมชาตินะ ธรรมชาติไม่ใช่ธรรมะสมบูรณ์ ไม่ใช่ธรรมสูงสุดนะ บอกว่า ธรรมะคือธรรมชาติ เราเข้าใจ แต่ว่าธรรมะโลกุตรธรรมนั้น เหนือธรรมชาติ ฉะนั้น ฆ่ากิเลสนี้ตาย เหนือธรรมชาติ คนที่ยังฆ่ากิเลสธรรมชาติพวกนี้ ยังไม่ตาย ไม่เหนือหรอก

ผู้ที่อยู่เหนือธรรมชาติ โลกุตระแล้ว อยู่เหนือธรรมชาติ รู้จักธรรมชาติ รู้เท่าทันธรรมชาติ แล้วช่วยธรรมชาติ ช่วยเขาไม่ให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปเป็นอย่างนี้แล้ว เราทุกข์อยู่ เราก็ลด พยายามช่วยให้เขาลดลงมา มีกิเลสมาก ไปมีมากผัวมากเมีย เป็นทุกข์มากมาย ที่ฆ่าแกงกัน เพราะหึงเพราะหวงกันก็เยอะ ใช่ไหม สําส่อน มีโรคมีภัย เดี๋ยวนี้ยิ่งส่ําส่อนไป อย่าว่าแต่ทุกข์ หึงหวงเลย เดี๋ยวนี้เอดส์มาด้วยละสําส่อนละยุ่งละ เพราะฉะนั้น ทุกข์มันมาชัดเจนทุกวันนี้ ไม่ส่ําส่อน ถ้ามีกิเลสอยู่แค่ ผัวเดียวเมียเดียว ก็ให้ขั้นตอนหนึ่ง

ถ้ายิ่งดีกว่านั้น เป็นพรหมจรรย์ศีล ๘ ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ ยิ่งพ้นทุกข์ พ้นธรรมชาติเหล่านี้มาได้มาก ยิ่งเจริญ เราต้องเรียนรู้ ถ้าเราไม่รักมาเห็นแก่ตัวอย่างนี้ เป็นผู้หญิง ก็เข้าใจให้ได้ว่า เราจะต้องเจริญให้ได้ พระพุทธเจ้าไม่ได้ปิดป้องผู้หญิงว่าจะปฏิบัติธรรม จนบรรลุ เหนือธรรมชาติ จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้ปิดป้อง บรรลุได้ เป็นผู้หญิงก็บรรลุธรรม ปฏิบัติธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้เหมือนกัน

เราต้องเรียนรู้อันนี้ รักในสิ่งที่ควรรัก เราเลิกในสิ่งที่ควรเลิก อย่างนั้น มันไปเป็นทุกข์ มันไปเป็นบาป มันไม่ดีมารัก ฉะนั้น อย่างผู้หญิงผู้ชาย เลิกอย่างนี้ แล้วเราก็รักอย่างพี่น้อง รักกันอย่างปรารถนาดีต่อกัน เกื้อกูลกัน มันเกิดอารมณ์กิเลสราคะ มันจะเป็นเรื่องผู้หญิงผู้ชาย เป็นราคะเป็นอะไรนี่ เอาที่เรา ฆ่ากิลสที่เรา คนอื่นก็อย่าไปให้มัน แหม ตกลงเลย เข้าคู่กัน เราต่างคนต่างมีกิเลส ลงบาปด้วยกัน ลงนรกด้วยกันเถอะนะ อย่าเป็นอันขาด ไม่เอา มีโอกาสที่พบธรรมะอย่างนี้ต้องทํา ทุกชาติๆ เราเกิดมา แบบนี้ทั้งนั้นแหละ มาเจอกิเลสอย่างนี้ เล่นงานทุกชาติ เพราะฉะนั้น ชาติไหนที่เจอพระพุทธเจ้า เจอธรรมะพุทธศาสนาแล้ว รีบลด ลดให้มันได้แก่ตัว จนไปถึงนิพพานให้ได้ สูงสุดคนจะต้องนิพพาน ไม่นิพพานก็วนเวียนอยู่ นรกสวรรค์ ๆ อยู่อย่างนี้ หนักเข้าก็มีแต่นรกมากๆ ยุ่งซิ ยิ่งทุกข์ตาย ใช่ไหม แล้วไม่พ้นไปจากอันนี้ได้ เรียกว่า สังสารวัฏ อย่าทํา ฝึกเอา ได้จริงๆนี่

ในฐานะที่พวกคุณ ได้มาอบรมพุทธทายาท ได้มาเรียนรู้อันนี้ อย่าเสียโอกาสเปล่า ขอให้ได้สัจจะอันนี้ ไปในตัวบ้าง เอาจริงๆ ฝึกจริงๆ ฝึกจริงๆ แล้วเราจะได้ก้าวหน้า เจริญขึ้นไปสู่ความเจริญ เป็นพระนิพพาน ถ้าคุณได้เป็นพระอรหันต์แล้วนะ คุณจะช่วยโลกอยู่ ก็ช่วยได้ จะเกิดอีกกี่ร้อยชาติ ก็เกิดไป เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่เห็นแก่ตัว มีแต่ความรักที่ปรารถนาดี มีแต่ความรักที่อดทน เกื้อกูลผู้อื่น ช่วยเหลือเฟือฟายผู้อื่น สร้างสรร เพราะเราไม่ต้องไปเสียเวลา อาตมาไม่ต้องมีเวลาไปจีบสาว แต่ก่อนนี้ ก็เสียเวลาจังเลย อาตมาเคยโง่มา เคยเสียเวลาไปจีบสาว บางทีทํางานอยู่ดีๆละ บางที เราจะต้องรีบจีบเขา ไม่ให้เขาเสียใจให้ได้ เขาติดต่อมา โทรมาต้องรีบไปแล้ว งานต้องทิ้งแล้ว รีบไป ไม่งั้นประเดี๋ยวเขาจะไม่รักเรา อะไรอย่างนี้ เคยมาแล้วนะ มันเคยโง่มาแล้ว เสียเวลา เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องเสียเวลาอย่างนี้ อาตมาไม่ต้องเสียเวลาไปจีบสาว เอาเวลามาทํางาน เอาเวลามาบอกสัจธรรมแก่พวกคุณ นี่มีคุณค่ามั้ย

ถ้าอาตมานี่ นั่งมา พูดมาตั้งแต่เวลาเก้าโมง มาจนถึงเดี๋ยวนี้ ชั่วโมงกว่าแล้ว เอาเวลาไปจีบสาวเสีย ได้ประโยชน์อะไร เห็นแก่ตัว หลงอารมณ์ อารมณ์ที่บ้าๆบอๆ อย่างที่อาตมากําลังพูดนี่ ว่ามันไม่จริง มันเป็นสุขตอแหล ฆ่าให้ตาย ฆ่าตายได้แล้ว อาตมาไม่ต้องฝืน ไม่ต้องทน ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องไปจีบสาวที่ไหนเลย พูดกันก็พูดแต่เรื่องดีๆ แก่กันและกัน ทุกคนก็เหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนปู่ ย่า ตา ยาย เรามีอะไรดี บอกกันอย่างนี้ รักกันอย่างนี้ แล้วเป็นสามัคคี เป็นกลุ่มญาติเป็นกลุ่มพี่ เป็นกลุ่มน้อง เกิดแก่เจ็บตายพึ่งกันได้ ใครเป็นทุกข์อันนั้นอันนี้ ก็เกื้อกูล ช่วยกัน ใครมีกินก็เอาทํามากิน แบ่งกันกิน คนนี้ทําไม่ไหว แล้วก็ไม่ทํา คนไหนทําได้ ก็เอามาเผื่อแผ่ คนนี้แก่แล้ว ทําไม่ไหวแล้ว ประเดี๋ยวทําแล้วกระดูกหลุด เอ้า นั่นมันยังไม่ตาย ก็เลี้ยงกันไป คนนี้เป็นอัมพาตแล้ว เอ้า ก็ต้องแก้ไขช่วยดูแลกัน เห็นแก่ความทุกข์คนอื่น คนเป็นอัมพาตนี่ ทุกข์ไหม(ตอบ ทุกข์)อยากเป็นไหมคุณน่ะ(ตอบ ไม่อยาก)

เขาก็ไม่อยากเป็น ฉะนั้น เราต้องเห็นใจเกื้อกูลกัน มีน้ําใจไปช่วยเหลือ เฟือฟายคนป่วยคนเจ็บ ใครก็ไม่อยากป่วย ไม่อยากเจ็บ ไปช่วยดูแลกัน เอื้อเฟื้อเจือจาน มีความปรารถนาดีอย่างนี้ซิ เรียกว่ารัก อย่างนี้ รักอย่างปรารถนาดี รักอย่างเกื้อกูล รักอย่างมีประโยชน์คุณค่า รักอย่างนี้ จงทําให้มันมากๆ ทําให้มันดีๆ แล้วสังคมจะเป็นอย่างไร สุขฉะนี้นี่หรือจะลืมเลยละ เข้าใจไหม เราต้องการสังคมอย่างนี้ไหม(ตอบ ต้องการ)

แล้วมันจะเกิดได้อย่างไรต้องเราทํา ทําเป็นธรรม ธรรมเราทํา ต้องทําให้มันเป็นอย่างนี้แหละ เป็นธรรมะอย่างนี้ ธรรมเราต้องทํา ถ้าเราไม่ทํา ไม่มีใครทําหรอก เหมือนดูถูกคนอื่นน่ะ จริงๆนะ ต้องเรานี่แหละ พยายามทํา ทุกวันนี้เราร่ําร้องว่า สังคมมันแหลกเหลว สังคมมันไม่มีที่พึ่ง สังคมมันเดือดร้อน มันแตกร้าว มันไปไม่ได้ ก็เขาไม่เข้าใจ เขาก็ไม่มีทางออก แล้วเขาก็ไม่ทํา ทุกวันนี้ อาตมามีความหวังนะ มีความหวังจากพวกเรา ทําขึ้นมาได้ขนาดนี้ แม้จะกลุ่มเล็กๆ ก็อบอุ่น อุดมสมบูรณ์ เรารักต้นไม้ พากันมารักต้นไม้ พากันมารักน้ํา มารักดิน มารักอากาศ มารักลม มารักอุณหภูมิอะไร มารักอะไรต่างๆนานา แล้วพวกเราก็มารักกันอย่างที่ควรรัก รักอย่างปรารถนาดี สร้างสรร เหน็ดเหนื่อย อาตมาได้อธิบายไปบ้างแล้ว ในเรื่องของการสร้างสรร แล้วก็เป็นคุณค่าประโยชน์ แล้วก็ให้แจกจ่ายบริจาค ถ้าเราสร้างมาแล้ว แล้วก็แจกจ่ายให้คนอื่น ได้กินได้ใช้ เป็นจาคะบารมี เป็นทานมัย เป็นการได้ให้นี่แหละ เป็นทรัพย์ติดตัวไป เราไปเอาเปรียบเขามา ดีไม่ดี ไม่สร้างด้วย ไปปล้นเอามา ปล้นเอามานี่ ได้เงินไหม ได้ แต่นามธรรมที่ลึกๆ คุณได้อะไร(ตอบ ได้บาป)

ได้บาป ไปปล้นเขา ไปขูดรีด ไปแย่งชิงเขามา ได้บาป ตายไปแล้ว ได้เงินที่ปล้นไปไหม(ตอบ ไม่ได้)ได้บาปไปไหม(ตอบ ได้)อันไหนเป็นทรัพย์แน่กว่ากัน อันไหนเป็นทรัพย์แท้กว่ากัน (ตอบ บาปเป็นทรัพย์)เห็นไหม คนเราไม่รู้ เห็นมั้ย ไปโกงไปคอร์รัปชั่น แหม รวยเป็นร้อยล้าน จะถูกเขาริบอยู่ ไม่รู้ตัวนี่นะ เขาได้บาปแล้ว เขาทําไปแล้ว เขาโกงมา เขาคอร์รัปชั่นมาแล้ว แต่เขาได้บาปนะ ยิ่งโดนเขาริบ เอาเงินคืนไปอีก โถ เงินก็ไม่ได้อีกด้วยตอนนี้ แต่บาปได้ไปแล้ว ซวยไหม(ตอบ ซวย)

เสร็จแล้ว ถูกเขาจับได้ เอามาประจานขายหน้าอีก งาม งามประชดน่ะ อันนี้ไม่ใช่งามแท้ ใช่ไหม อย่าไปทํา อย่าไปอุตริเข้า ถ้าเราปฏิบัติตน เป็นผู้กินน้อยใช้น้อยไม่ต้องไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่ต้อง ไปหาเงินมาทําไม หาเงินมาซื้อ สิ่งที่เราจะเอามาบําเรอตน มาเสพสมสุขสมทางทวาร ๕ ตาหูจมูกลิ้นกาย อยากได้เพชรก็เอาไปซื้อเพชร อยากได้ทอง ก็เอาไปซื้อทอง อยากได้เสื้อสวย ก็เอาไปซื้อเสื้อสวย เราก็ไม่ติดแล้วเสื้อ เราก็นุ่งห่มกันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย มันขาดก็ปะเอาบ้างก็ยังได้ ไม่เห็นเป็นไร ซักสะอาดๆ อย่าให้เชื้อโรค มันมากินตัวก็พอแล้ว ไปหลงสวย อย่างโน้น แหม!สมัยนี้ เขาต้องแบบนี้แล้วนะ ตอนนี้ต้องมิดี้ ตอนนี้ต้องแม็กซี่ ยุคนี้จะต้องประเภท บาน ตอนนี้ประเภท หุบๆ ตรงนี้ต้องผ่าถึงนี่น่ะ อะไรบ้าๆบอๆ ยิ่งสังขารไปไม่เข้าเรื่อง ยั่วกาม อะไรกัน ต่างๆนานา แบบนั้นน่ะ โลกเขาก็ไม่เข้าใจ แต่เราไม่เอาแล้ว อย่างนั้น เรามาเป็นคนอย่างนี้

เอาละ สรุปแล้ว ความรักที่อาตมาได้ขยายความมานี่ ฟังรู้เรื่องไหม

พ่อท่าน : ไม่ต้องสรุปเป็นหัวข้อน่ะนะ สรุปเป็นหัวข้อใหญ่ แต่ว่า ถ้าเราจะรักอย่างที่เห็นแก่ตัว รักมาเสพสมสุขสม รักมาเป็นตัวกูของกู หวงแหน ตระหนี่ถี่เหนียว ยิ่งหวงมาก หวงเยอะ หวงกว้างออกไป ความรักแบบนี้ ยิ่งแบกไว้หนัก ยิ่งทรมาน ยิ่งเห็นแก่ตัวจัดจ้าน ยิ่งกระเบียดกระเสียร หรือ ยิ่งแย่งชิงหนัก

ถ้ารักแบบเอื้อเฟื้อเจือจาน เป็นทาน เป็นเกื้อกูล เป็นความไม่เห็นแก่ตัว เป็นความปรารถนาดีต่อกันและกัน ใครเป็นทุกข์ ใครโง่ ช่วยให้เขาฉลาด อย่าฉลาดแกมโกงนะ ต้องฉลาดอย่างมีปัญญา ที่แท้อย่างธรรมะ ใครโง่ช่วยเขาฉลาด ใครทุกข์ ช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ใครไม่ดี ทําสิ่งที่ชั่ว ทําสิ่งที่ไม่เจริญ ช่วยให้เขารู้ว่า สิ่งนี้ชั่ว สิ่งนี้ไม่เจริญ อย่าทํา มาทําสิ่งที่ดี สิ่งที่เจริญอย่างนี้แหละ เกื้อกูลกันไป แบ่งแจกได้ทั้งวัตถุธรรม ทรัพย์ศฤงคาร ก็แบ่งกันได้ เกื้อกูลกันได้ แต่แบ่งประเภทที่ไม่มีปัญญา แจกแหลก หว่านเรื่อย มันก็ไม่อยู่ มันก็ไม่รอดอีกเหมือนกัน ทานต้องมีปัญญา พระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ เราก็แบ่งแจกกัน เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน อย่างมีปัญญา ใครคนไหนควรได้ก่อน คนไหนไม่ควรได้ บางที ไม่ควรทานให้หรอกคนนี้ ให้ไปแล้วก็ยิ่งไปตกต่ํา ให้ไปแล้วก็ยิ่งตะกละ ยิ่งขี้เหนียว หรือว่ายิ่งขี้โลภ ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งขี้เกียจ เราก็ไม่ทานให้คนอย่างนี้ อย่างนี้เป็น

ต้นสรุปแล้ว ความรักเพื่อตัว เห็นแก่ตัวนั่นเลว ความรักเพื่อเอื้อเฟื้อเจือจานผู้อื่น ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อย่างนี้เป็นความรักที่ดี รักอย่างนี้แหละให้ได้ ไม่เป็นบาป เป็นบุญ แล้วก็เป็นคุณทั้งโลก เกื้อกูลทั้งโลก ช่วยเหลือเกื้อกูลให้สังคม ให้มนุษยชาติ อยู่กันอย่างสันติสุข เจริญงอกงาม แม้แต่เราจะรักดินน้ําไฟลม รักต้นหมากรากไม้ รักธรรมชาติ ก็มีปัญญาที่จะรัก หรือมีปัญญาที่จะสร้างสมดุล ที่จะทําอะไร ให้มันได้สัดได้ส่วน อยู่กันอย่างเจริญงอกงาม แล้วเราก็ได้อาศัยมัน ถ้าธรรมชาตินี่ มันดี มันงอกงามนะ มันก็จะดี

อาตมาเมื่อเช้าไปเดิน ไปเก็บดอกแคป่ามา บอก เออ เราจะให้เอาแคป่านี่ ไปวิเคราะห์ รู้ว่าธาตุอะไร มันดีแล้ว เราจะได้เอามา ถ้าทําเป็นยาได้ก็ทํา ถ้าไม่เป็นยาได้ อย่างน้อย เราก็เอามาทําอาหาร นี่เอาไปตากแห้ง มันเยอะน่ะนี่ เก็บมาเอาไปตากแล้วก็เขาเอาไปทําพะโล้ ดอกแคเอาไปต้มทําพะโล้ได้ กินดี แล้วเป็นอาหารด้วย มีธาตุที่จะเลี้ยงร่างกายด้วย ถ้ามีธาตุที่เป็นยาด้วย ก็ยิ่งดี

ปลูกดอกอัญชัน ปลูกดอกอะไรนี่ อาตมาก็คิดถึงพวกเรา นี่จะมีวัฒนธรรม ตื่นเช้าขึ้นมา เด็กก็ดี คนโตก็ดี ตะกร้าคนละใบ ไปเก็บดอกอัญชัน เก็บดอกแคป่า เก็บดอกพิกุล เก็บดอกมะลิอะไร ก็แล้วแต่ แล้วก็เอามาแยก วิเคราะห์ใช้งาน ทํางาน เราก็อยู่กับธรรมชาติ มีใบอะไรจะเก็บ มีดอกอะไรจะเก็บ มีผลไม้อะไรจะเก็บ แล้วดูแลกันไป เสร็จแล้วก็พอเอามาให้แล้ว คนนั้นรับช่วง เอาไปทําอะไรต่อ คนเก็บก็เก็บมา ได้ออกกําลังกาย ได้ดูแลต้นหมากรากไม้ ได้ดูภูมิประเทศธรรมชาติของเรา ส่วนไหนไม่ดีก็รีบรู้ รีบเห็น แล้วก็ไปปรับปรุงตบแต่งมัน ไม่ใช่ตบแต่งให้มันงาม ตบแต่งให้มันสมดุล อะไรที่ขาดก็เติม อะไรที่เกินก็เอาออก ทําให้มันเข้าสัดส่วนของมันอยู่ดี ชีวิตก็ดําเนินไปตามวัฒนธรรม ตามวงจรที่ดี อาตมาได้ตั้งใจแล้ว ตอนนี้จะเดินขึ้นบันได แล้วจะเดินดูรอบๆ ทุกวัน อยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีกิจอะไรมาแทรกมาแซง เดินออกกําลังกายด้วย เพราะอาตมาออกกําลังกายน้อย เขาไม่ให้ไปบิณฑบาต เลยเดินน้อย วันๆหนึ่ง นั่งมาก จะได้ดูแลอะไรด้วย แล้วก็จะได้แนะนําพวกเราไปด้วย เจอคนนี้ก็บอกอันนี้ เจอคนนั้นก็บอกอันนั้น อันนี้ๆ ช่วยกันทําไป ช่วยดูแลกันไป โอ้ อาตมาว่า สังคมนี้ มันจะเป็นอย่างไร น่าอยู่ แต่ละคน ดีไม่ดี พร้อมพรั่ง เพลงไปด้วยเออ หยาดอรุณ รุ่งทิวานี่ เรามีเพลงหยาดอรุณแล้ว เก็บดอกไม้ไปนี่ คนศีล ๕ ก็ยิ้มหน่อย คนศีล ๘ ก็อย่าฮัมให้เขาได้ยิน ลดกิเลสลงบ้าง ไม่อย่างนั้น ติดมันมาก มันไม่ดีนะ มันเป็นรสอร่อยเหมือนกันนะ ถ้าไม่มีรสอร่อย ก็ฮัมได้

อาตมานี่แต่งเพลง ใครไม่เชื่อหรอกว่า อาตมาแต่งเพลงด้วยจิตว่าง แต่งก็พยายามที่จะปรุง สังขารมัน แต่งเสร็จแล้วก็เมื่อย เมื่อยนะ โอ้ กว่าจะเสร็จ บางทีหัวร้อนจริงๆ ต้องปรุงหัวร้อนเลย พอแต่งเสร็จ ก็เอาไปใช้ ตัวเองไม่ได้ติดใจว่า เราจะต้องแต่งแล้วมันอร่อย โอ้ คิด แต่งแล้วก็ยิ่งหลงใหล อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ มันเมื่อยด้วยซ้ําไป แต่ต้องทํา เพราะว่าทุกวันนี้ เขาแต่งเพลง เขามอมเมากันเยอะ เราเลยต้องแต่งเพลงให้ มันเป็นของอาศัย ที่พอมีคุณค่า มีประโยชน์บ้างก็ทํา อาตมาแต่ง ในระดับของโลกุตระ เยอะ แต่เพลงหยาดอรุณ อาตมาแต่งตั้งแต่เป็นฆราวาส หยาดอรุณ นี่ชมธรรมชาติ เท่านั้นเอง

เอ้า นี่ก็อธิบายผสมผเสไปนิดๆ หน่อยๆนะ เอาล่ะ เวลาก็หมดแล้ว อาตมาได้อธิบาย ขยายเรื่องความรัก รักอย่างไรถึงจะไม่เป็นบาป รักอย่างไรถึงจะไม่เป็นทุกข์ ไม่ทําลาย ก็ได้อธิบายไปแล้ว รักอย่างไรที่เป็นบุญ ซึ่งเราไม่ได้เขียนหัวข้อละ แต่ก็เข้าใจ ในนัยกลับกัน รักอย่างไรเป็นบุญ รักอย่างไร จึงจะเป็นไปเพื่อความสงบเย็น เป็นความสุข เป็นความเจริญ ก็รักอย่างที่ได้ขยายความมาแล้ว เพราะฉะนั้น อย่างไรเป็นบาป อย่างไรเป็นบุญ ก็ต้องไปฝึกฝนเรียนรู้ด้วยปัญญา แล้วฝึกฝนเอาให้ได้นะ

แม้รู้ ยังไม่ใช่จริง ต้องฝึกฝนด้วยจึงจะจริง แล้วเราก็จะได้เจริญทั้งตัวเอง และสังคมหมู่มนุษยชาติด้วยกัน

เอวัง

อาเวณิกสูตร [๔๖๒]

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคาม ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ๕ อย่างนี้ ความทุกข์ ๕ อย่างเป็นไฉน คือ

มาตุคามในโลกนี้ เมื่อยังกําลังสาว ไปสู่สกุลผัว เว้นจากญาติ อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่ง ของมาตุคามข้อต้น ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ฯ
[๔๖๓] อีกประการหนึ่ง มาตุคามมีระดู อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคามข้อที่ ๒ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ฯ
[๔๖๔] อีกประการหนึ่ง มาตุคามมีครรภ์ อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่ง ของมาตุคามข้อที่ ๓ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ฯ
[๔๖๕] อีกประการหนึ่ง มาตุคามคลอดบุตร อันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่ง ของมาตุคามข้อที่ ๔ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ฯ
[๔๖๖] อีกประการหนึ่ง มาตุคามเข้าถึงความเป็นหญิงบําเรอของบุรุษอันนี้เป็นความทุกข์แผนกหนึ่ง ของมาตุคามที่ ๕ ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความทุกข์แผนกหนึ่งของมาตุคาม ที่ตนจะต้องเสวย เว้นจากบุรุษ ๕ อย่างนี้แล ฯ