หยาดน้ำผึ้งหยดเดียวแห่งความรัก : สมณะโพธิรักษ์

หยาดน้ำผึ้งหยดเดียว” แห่ง “ความรัก
(เก็บความจากหนังสือ เราคิดอะไร ปีที่ 1 ฉบับที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 หน้า 3)

พ่อครูสมณะโพธิรักษ์

เราก็เหมือนรู้กันทั้งโลกว่า “ความรัก” นั้น คนทั้งโลกหลงใหล และเข้าใจว่า “เป็นน้ำผึ้งที่แสนหวานหอมกันขนาดไหน

แม้กระนั้นคนก็เคยถูกพิษของ “ความรัก” แห่ง “กามราคะ” นี่แหละ ทำร้ายทำลายเอา ทุกข์จนตาย จนเจียนตาย จนพิการตาย พิการสมอง นับไม่ถ้วนมาแล้ว แต่ก็ไม่ศึกษาค้นคว้าอย่างเอาจริงเอาจัง เหมือนกับ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” ที่ได้ทรงศึกษามาจนเจนจบ และสรุปว่า มันคือ “พิษร้ายตัวการแห่งทุกข์ ตัวการแห่งการทำลายสังคมมนุษยชาติตัวฉกาจทีเดียว”

ดังที่มีคำตรัสไว้มากมาย ที่ทรงถล่ม-ทรงตำหนิ “ความรักแห่งกามราคะ” พุทธวจนะสำคัญ ที่พระองค์ตรัสไว้อย่างซาบซึ้งที่สุด “ผู้ตั้งตนเป็นคนโสด ชื่อว่า “บัณฑิต” คนโง่ฝักใฝ่ในเมถุนย่อมเศร้าหมอง” ความหมายง่ายๆ ก็คือ “ผู้ที่ได้ตั้งใจไม่ฝักใฝ่ในเรื่องจะหาคู่เพื่อมาสมสู่ ก็ชื่อว่าเป็นคนฉลาดแท้ระดับบัณฑิตทีเดียว ใครยังฝักใฝ่หาคู่อยู่ ยังชื่อว่า คนโง่ และจะต้องได้รับความเศร้าหมองทุกข์ร้อน เพราะเรื่องนี้กันเป็นส่วนมาก”

ยิ่งทุกวันนี้ยิ่งไม่ต้องเพิ่มพลเมืองให้แก่โลกเลย เพราะคนจะล้นโลกอยู่แล้ว จนหาทางคุมกำเนิดกันสารพัดวิธีทั่วโลก เพราะรู้ทั้งรู้ว่า “มีลูกสมัยนี้จะต้องเป็นภาระมาก ต้องลำบากกว่าสมัยก่อนเหลือคณานับ”

แม้แต่แต่งงานแล้ว ก็ยังเพียงเพื่อเสพ “กามราคะ” เพราะหลงว่าเป็น “รสสุขแห่งชีวิต” ให้กับตนเองเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่อง “การบำบัดกิเลส” ตรงๆ
เนื่องจาก “ความเป็นจริง” นั้น การสมสู่เพื่อสืบเผ่าต่อพันธุ์กันตามตรงแล้ว ไม่ต้องมีอารมณ์สุข หรือไม่ต้องมีกามก็ได้”

แต่ทุกวันนี้ หาได้เป็นเรื่องของ “ธรรมชาติแท้” เพื่อสืบเผ่าต่อพันธุ์กันเป็นเป้าตรงไม่ กลายเป็นเรื่องหลงใหลติดยึดใน “รสสุขเท็จๆ” (สุขัลลิกะ = สุขที่เหลวไหล หลอกลวง) ว่า “เป็นของจริงตามความเป็นจริง จนเห็นเป็น หยาดน้ำผึ้งอันแสนหอมหวาน กันหนักหน้าขึ้นทุกวันๆ”

เพราะต่างก็ประโคม ช่วยกันหาองค์ประกอบ เสริมสร้างให้หลงเห็นว่า “ความรักเรื่องกาม” นี้ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่ดีงามจรรโลงโลก ซึ่งเป็นความเผิน เป็นความไม่ละเอียดของคน เป็นความหลงผิดแท้ๆ

เมื่อถึงวาเลนไทน์ ที่ชนต่างชาติปรุงสร้างขึ้นมาเสริมให้หลงใน “เกมกาม” นี้ยิ่งขึ้น คนไทยมากหลายก็อุตส่าห์ไปหลงนิยมตาม-คล้อยตาม-เห่อตาม-เอาอย่างตาม ให้ตนต้องเพิ่มทุกข์ เพิ่มความผลาญพร่าสูญเสียมาให้แก่ตนแก่สังคม

“ความรัก” เฉพาะเรื่องของ “กามราคะ” ที่หลงเป็นรสสุข นี้ เป็นเพียงหยดเดียวหยดหนึ่งใน “ความรัก” ทั้งหลายที่มีตั้งมากมายมิติฯ
ดังนั้น “ความรักระดับกามนิยม” ที่เป็น “ความรักมิติต่ำที่สุด” มีส่วนดีน้อยที่สุด มีส่วนเสีย-มีโทษ-มีภัยมากที่สุดนี้ จึงเป็นเพียง “หยดเดียว” ของ “หยาดน้ำผึ้ง” แห่ง “ความรัก”

เพราะ “ความรัก” นั้น มีคุณลักษณะอื่นอีกมากมายถึง 10 มิติที่ดีกว่ามีคุณค่ากว่า (“ความรัก” มีระดับต่ำ-สูงไม่ใช่จะมีแต่โทษ)

ซึ่งคนทันสมัย และมีโลกาภิวัฒน์แท้ ถึงขั้น “โลกุตระ” รู้จักอุปสงค์ ที่จะช่วยอุปทานให้แก่โลก อย่างถูกสาระสัจจะได้สัดส่วนสมแก่กาละยุคสมัย จะต้องช่วยอนุเคราะห์โลกอย่างจริงจัง ไม่ใช่ช่วยกระหน่ำซ้ำร้ายให้แก่โลกอยู่อย่างงมงาย จนต้องทุกข์ร้อนซ้อนเสริมขึ้นเป็นปฏิภาคทวี ด้วยอัตราเรขาคณิตกันไม่รู้จักลด

หากหันมาศึกษา “พุทธศาสนา” กันจริงจัง ให้ “สัมมาทิฏฐิ” จนครบปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ จะพบความจริงใน “หยาดน้ำผึ้ง” หยดเดียวแห่ง “ความรัก” นี้ ได้ชัดเจน-รู้แจ้ง-เห็นจริง ตนเองรวมทั้งสังคมมนุษยชาติ ก็จะพากันมี “อิสรเสรีภาพ-ภราดรภาพ-สันติภาพ-สมรรถภาพ-บูรณภาพ” อย่างสมบูรณ์ (absolute) จริงๆได้

คนในโลกทุกวันนี้ ต่างก็ฉลาดสูงสุดแล้วใน “เกมโลกีย์” ดังนั้น จะใช้ความรู้ความฉลาดทาง “โลกีย์” แก้ปัญหาของโลก-ของโลกีย์ไม่สำเร็จหรอก เพราะมันต่างก็รู้ทันกันหมดแล้ว

ต้องใช้ความรู้ระดับ “โลกุตระ” กันอย่างจริงจัง!
จึงจะแก้ปัญหาความทุกข์ยากใน “โลกีย์” ได้จริง ขอยืนยัน!